ประวัติวัดกู่ผาแดง บ้านกอม หมู่ 11 ตำบลหย่วน อำเภอเชียงคำ จังหวัดพะเยา วัดกู่ผาแดง เป็นวัดร้างมานานไม่ทราบที่
มา แต่เล่าต่อๆกันมาว่าพญาคำแดงเจ้าผู้ครองเมืองเชียงคำในยุคนั้นได้บูรณะ และหลวงพ่อคำต๋าซึ่งพญาคำแดงเป็นผู้อุปสมบทให้เป็นเจ้าอาวาสหลายพรรษา ต่อมาโดนใส่ร้ายต้องอาญาจากพญาคำแดงว่าเป็นชู้กับมเหสีของพญาคำแดง หลวงพ่อคำต๋าถูกนำแห่ประจานทั่วเมืองและนำไปตัดศีรษะที่ดงไม้แดง หรือรอมสลีอยู่ตรงบริเวณป่าบ้านดอนลาว จากแรงอธิษฐานของหลวงพ่อคำต๋าซึ่งเป็นผู้บริสุทธิ์เลือดได้พุ่งขึ้นฟ้า โดยมีต้นไม้ใหญ่รองรับเอาเลือดของหลวงพ่อคำต๋าไม่ให้ตกลงสู่พื้นดิน ส่วนพระมเหสีถูกนำไปตัดศีรษะที่ดงเปื๋อยเปียง ปัจจุบันอยู่ที่หมู่บ้านเปื่อยเปียง ก่อนถูกประหารพระมเหสีของพญาคำแดงได้อธิษฐานไว้ว่าถ้านางบริสุทธิ์ให้ดงไม้ตรงนี้มียอดเท่ากันหรือเสมอกันหมด ตั้งแต่นั้นมาดงไม้เปื๋อยเปียงก็มียอดสูงเท่ากันหมดทุกต้น เมื่อพญาคำแดงทราบข่าวจึงสำนึกผิด เพื่อเป็นการล้างบาปหรือไถ่โทษจึงเข้าไปบูรณะเปลี่ยนหลังคาพระอุโบสถ จากมุงใบคามาเป็นกระเบื้องขอดินเผาด้วยพระองค์เอง และพระองค์ได้พลัดตกจากหลังคาพระอุโบสถสิ้นพระชนม์ตรงอุโบสถเก่าตรงบริเวณที่มีเศียรหลวงพ่อประดิษฐานอยู่ในปัจจุบันนี้ จากนั้นมาก็เป็นวัดร้างอีกครั้ง จนถึงปี พ.ศ. 2522 พระสงฆ์จากภาคกลางชื่อหลวงพ่อสุวรรณธุดงค์มาพบ ได้นำชาวบ้านเข้าบูรณะขึ้นใหม่ก่อพระธาตุขึ้นตรงซากพระธาตุเดิม ซึ่งเจอฐานพระธาตุองค์เดิมมีลายปูนปั้นบัวคว้ำบัวหงาย จึงแจ้งกรมศิลปากรเข้ามาตรวจสอบพบว่าเป็นศิลปะร่วมสมัยอยุธยา มีการจดขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถาน มีการบูรณะทำพระธาตุองค์ใหม่ครอบพระธาตุองค์เดิมไว้ พ.ศ.2529 อาจารณ์พรรพชา วัลลโพ ได้มาจำพรรษาได้สร้างโบสถ์ต่อจนแล้วเสร็จและปั้นรูปเหมือนพระเถระผู้ใหญ่หรือพระอริยะสงฆ์ ที่เคารพนับถือ 18 องค์ สร้างรูปท้าวเวสสุวรรณ รูปเปรต สัตว์นรก จนถึง 19 เมษายน พ.ศ.2551 จึงได้ลาสิกขาไป ในวันเดียวกันนั้นชาวบ้านกอมได้ร่วมกันนิมนต์พระจำรัส คมฺภีรโต ซึ่งจำพรรษาอยู่ที่วัดบุญนาคมาประจำอยู่ที่วัดกู่ผาแดงและได้บูรณะวัดต่อมาจนถึงปัจจุบัน ข้อคิดบางประการจากเรื่องราวและตำนานเมืองเชียงคำ จากการบอกเล่าของผู้เฒ่าผู้แก่ ปราชญ์ทั้งหลาย รวมทั้งตำนานพระธาตุดอยคำ ตำนานวัดพระนั่งดิน ตำนานพระธาตุสบแวน ตำนานสิงหนวัตร ได้เอ่ยถึงพญาคำแดงว่าเป็นผู้ครองเมืองชะราวหรือเมืองพุทธรส ( พุทธรสะ ) ทีนี้มาพิจารณาดูว่าเมืองชะราวกับเมืองพุทธรส ( พุทธรสะ ) นี้เป็นเมืองเดียวกันหรือไม่ หรือว่าเป็นคนละเมืองกัน เช่น เมืองชะราวน่าจะเป็นเมืองที่ตั้งอยู่บริเวณบ้านคุ้มหรือทุ่งสาหรือห้วยน้ำสา หรือ เมืองพุทธรส ( พุทธรสะ ) น่าจะตั้งอยู่บริเวณเวียงเก่าบ้านเวียงพระแก้วรวมทั้งที่มีคือเมืองเก่าล้อมรอบ แต่ถ้าเป็นเมืองเดียวกันทำไมถึงอยู่ห่างกันตั้ง 10 กว่ากิโลเมตร แต่มาคิดอีกทีทั้งเมืองเก่าที่อยู่บริเวณบ้านคุ้ม ต.ร่มเย็นกับเมืองเชียงคำเก่าบริเวณบ้านเวียงพระแก้ว ต.เวียง ก็มีความเชื่อมโยงกันที่มีการกล่าวถึงในตำนาน เช่น พระเจ้านั่งดิน ดงเปื๋อยเปียง ( บ้านเปื๋อยเปียง ต.หย่วน ) ดงป่าแดง หรือ รอมสรีที่อยู่บริเวณบ้านดอนลาว ต.เจดีย์คำ พระธาตุดอยคำ ห้วยน้ำสา บ้านคุ้ม ต.ร่มเย็น เป็นต้น ท่านใดรู้หรือมีข้อมูลดีๆเอามาแชร์กันน่ะครับ เราจะได้เข้าใจความเป็นมาของเมืองเชียงคำในอดีตได้ถูกต้องใกล้เคียงกันที่สุด ขณะนี้ทางสภาวัฒนธรรมตำบลเวียงก็เริ่มมีโครงการสำรวจเพื่อจะขุดค้นเมืองเก่าเชียงคำเก่าที่มีศูนย์กลางอยู่ที่บ้านเวียงพระแก้วและมีซากคือเมืองเก่ากินบริเวณตั้งแต่บ้านทราย บ้านคือ บ้านดอนแก้ว บ้านดอนไชย บ้านพระนั่งดิน บ้านไชยพรม และบ้านเวียงพระแก้ว คงไม่นานเราคงได้เห็นได้รู้ว่าเมืองเชียงคำเก่าหน้าตาเป็นอย่างไรครับ มาตามหาฮีตฮอยเวียงเจียงคำตวยกั๋นเน้อครับปี้หน้องจาวเจียงคำครับ ต่อไปเป็นคำบอกเล่าที่เล่าขานกันมาเกี่ยวกับประวัติบางตอนของพญาคำแดง โดยคุณ ท.ทิวเทือกเขา ตามตำนานเรื่องเล่าตรงนี้ ผู้เรียบเรียงเคยได้ฟังตำนานหรือเรื่องเล่าปรัมปรา จากบรรดาครูบาอาจารย์ พระเถรานุเถระ พ่อหน้อยพ่อหนาน พ่ออุ้ยแม่อุ้ยเล่าได้ให้ฟังอยู่เสมอ จะลองนำมาเรียบเรียงเป็นตัวอักษรให้ท่านผู้อ่าน ได้ช่วยกันสืบทอดเล่าให้ลูกหลานของท่านฟัง ข้อมูลอาจจะคลาดเคลื่อนจากหลายๆคนที่ได้ฟังมาบ้าง ก็อย่าถือสาว่าความกันนะครับ เพราะพวกเราก็ต่าง ไม่มีใครได้อยู่ในเหตุการณ์จริง ก็ได้ฟังเล่าสืบต่อกันมา บางแห่งบางที่ ก็มีการเสริมเติมแต่งเพื่อให้น่าฟังหรือน่าติดตามยิ่งขึ้น แต่ก็คงมีเค้าโครงเรื่องจริงอยู่บ้างไม่มากก็น้อย หรืออาจจะเป็นแค่เรื่องเล่าแค่นั้นเอง แต่ผู้เขียนคิดว่า หลายท่านที่ได้อาศัยอยู่ในเขตอำเภอเชียงคำ จังหวัดพะเยา คงจะเคยได้ยินเรื่องเล่า ที่ผมจะนำมาเล่าต่อ ดังนี้ ในอดีตกาลนานมาแล้ว มีเมืองอยู่เมืองหนึ่งชื่อว่า เมืองคุ้ม (ปัจจุบันเชื่อกันว่า บริเวณที่ตั้งของเมืองดังกล่าว เป็นที่ตั้งของวัดคุ้ม ต.ร่มเย็น อ.เชียงคำ จ.พะเยา) มีเจ้าพระยาครองเมืองอยู่พระองค์หนึ่ง ในสมัยก่อนเขาเรียกว่า เจ้าเมืองคุ้ม มีพระมเหสีผู้เป็นที่รักอยู่พระองค์หนึ่ง พระนางเป็นผู้ที่มีสิริโฉมงามยิ่งนัก นอกจากนั้นแล้ว พระนางยังมีจิตใจเลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธศาสนาเป็นอย่างแรงกล้า พระนางได้รักษาศีล ให้ทาน ทำบุญอยู่มิได้ขาด อีกทั้ง พระนางได้ให้ความเคารพนับถือศรัทธาในพระเถระรูปหนึ่ง พระเถระรูปนี้ ถือได้ว่า เป็นพระภิกษุสงฆ์ที่รักษาพระวินัย รักษาศีลอย่างเคร่งครัด เป็นพระประพฤติปฏิบัติชอบ เป็นที่เคารพศรัทธาของบรรดาเจ้าเมืองในละแวกนั้น รวมไปถึงบรรดาพุทธศาสนิกชนทั่วไป รวมไปถึง เจ้าเมืองคุ้ม ก็ให้ความเคารพนับถือศรัทธาเป็นอย่างมากด้วยเช่นกัน โดยพระภิกษุรูปนี้ ได้รับการยอมรับ เปรียบเสมือนเป็นพระอาจารย์สอนวิชาแก่เจ้าเมืองคุ้มด้วย พระองค์ทรงทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาด้วยพระองค์เองอย่างไม่เคยขาดตกบกพร่อง แม้ในยามที่พระองค์ออกเสด็จว่าราชการต่างเมือง พระองค์ก็ยังได้รับสั่งให้นางสนมกำนัน หรือเหล่าบรรดาข้าราชบริพาร คอยรับส่งและถวายภัตตาหาร ทำบุญอยู่เป็นนิจมิเคยขาด ท่านพระมหาเถระรูปนี้ ได้คอยให้คำปรึกษาราชการ พร้อมทั้งได้แนะนำหลักธรรมคำสอนทางพระพุทธศาสนา แก่เจ้าเมืองคุ้ม และสอนให้เจ้าเมืองได้ประพฤติปฏิบัติธรรมอยู่เป็นเนืองๆเรื่อยมา เหตุการณ์เหล่านี้ ได้ดำเนินไปเป็นปกติอยู่เป็นเวลาหลายปี จวบจนกระทั่งวันหนึ่ง เจ้าเมืองคุ้ม ได้เสด็จไปว่าราชการต่างเมือง ก่อนเสด็จไป พระองค์ได้ทรงรับสั่งกับพระมเหสีผู้เป็นที่รักว่า ขอให้พระนางช่วยเป็นธุระ คอยดูแลจัดแจงกิจเกี่ยวกับการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาแทนพระองค์ด้วย พระมเหสีท่านนี้ ก็ได้รับคำว่า จะทำหน้าที่นี้ให้ดีที่สุด ประกอบกับพระนางก็เป็นผู้มีจิตใจเคารพศรัทธาในพระพุทธศาสนา อีกทั้ง ก็ยังได้ศรัทธาพระมหาเถระ ผู้เป็นพระอาจารย์อยู่แล้ว แต่ด้วยความที่พระนางเป็นหญิงที่มีพระสิริโฉมงดงามดั่งพระจันทร์ในคืนเดือนเพ็ญ เป็นที่รักของเจ้าเมืองคุ้มยิ่งนัก อีกทั้งขณะนั้น ในเมืองคุ้ม ก็มีบรรดาเหล่านางสนมกำนัน ที่ตั้งตัวกันเป็นก๊กเป็นเหล่า แย่งความเป็นใหญ่ อยากจะได้รับพระราชทานรางวัล หรือ เลื่อนขั้นเลื่อนชั้นของตนเอง ให้มียศตำแหน่งสูงๆขึ้นไป ก็เกิดมีความอิจฉาริษยาต่อพระมเหสีของเจ้าเมืองคุ้ม ที่มีตำแหน่งบารมีและยศที่สูงกว่าตน จึงได้สมรู้ร่วมคิดคบหากันกับบรรดาเสนาอำมาตย์และเหล่าทหารที่คอยรับใช้ คอยยุแยงตะแคงรั่ว ใส่ร้ายป้ายสี สร้างเรื่องราวให้เกิดขึ้น และร่วมกันวางแผน ที่จะทำลายชื่อเสียงของพระมเหสีอันเป็นที่รักของเจ้าเมืองคุ้มนั้น โดยที่พระมเหสีพระองค์นี้ ก็ไม่ได้คิดหรือระวังภัยที่จะเกิดขึ้นกับตนเองในอนาคตได้ เมื่อเจ้าเมืองคุ้มได้เสด็จออกไปว่าราชการยังต่างเมืองพระนางก็ได้รับหน้าที่นำภัตตาหารเช้า ภัตตาหารเพล ไปถวายพระมหาเถระ อยู่เป็นประจำทุกวัน พร้อมได้สดับรับฟังพระธรรมเทศนา จากพระมหาเถระ เมื่อถึงวันพระ ก็ได้นุ่งขาวห่มขาว ประพฤติพรหมจรรย์ ประพฤติปฎิบัติธรรมรักษาศีลอุโบสถ อาศัยอยู่ที่วัด นั่งสมาธิ อยู่มิได้ขาด พระนางก็ปฏิบัติอยู่อย่างนี้เป็นกิจวัตร มีอยู่วันหนึ่งซึ่งเป็นวันพระใหญ่ พระมหาเถระรูปนี้ โดยปกติท่านจะฉันหมากพลูอยู่เป็นประจำ แต่บังเอิญวันนั้น ปูนขาวหมด ก็เลยใช้ให้ลูกศิษย์ซึ่งเป็นสามเณร ไปขอปูนขาวจากแม่ออกศรัทธาอันเป็นพระมเหสีของเจ้าเมือง แต่เป็นธรรมเนียมของคนโบราณแล้วว่า จะไม่ยอมควักปูน หรืออะไรก็ตามออกจากที่เก็บ เช่น ปูนขาว ข้าวในเล้า เพราะถือว่าเป็นวันพระ ดังนั้น พระมเหสี จึงได้เอาปูนขาวของตนเองส่งให้สามเณรไป และบอกว่า เอาของแม่ออกไปก่อน ส่วนของพระมหาเถระ เดียวพรุ่งนี้จะเอาปูนขาวใส่ให้เต็มแล้วนำไปถวายท่านใหม่ สามเณรก็ได้นำถ้วยปูนขาวของพระมเหสีไปถวายพระมหาเถระ แต่บังเอิญว่า ท่านเจ้าเมืองคุ้ม ได้เสด็จกลับมาจากการว่าราชการต่างเมืองมาพอดี ก็ได้แวะเข้ามากราบพระมหาเถระ และสายพระเนตรก็ได้เหลือบไปเห็นถ้วยปูนขาว และจำได้ว่า เป็นของพระมเหสีตน จึงเกิดบันดาลโทสะ คิดว่า ต้องมีอะไรแน่นอน คิดว่าพระมหาเถระแอบเป็นชู้กับมเหสีของตนเอง โดยมีโมหะและโทสะเข้าครอบงำ ไม่ฟังเสียงใดๆทั้งสิ้น เมื่อเจ้าเมืองคุ้ม ได้นิวัติกลับมายังพระนคร เหล่าบรรดานางสนมกำนัน ที่ได้รับใช้ใต้พระเนตรพระกรรณ ก็พากันใส่ร้ายป้ายสี ทูลเรื่องที่ไม่เป็นความจริงต่อเจ้าเมืองคุ้มต่างๆนานาอีกบ้างก็เท็จทูลว่า ” พระองค์รู้หรือไม่ว่า เมื่อครั้งที่พระองค์ไม่ได้ประทับอยู่ในพระนคร พระมเหสีของพระองค์ทรงคิดนอกใจ บ้างก็ว่า พระนางมีใจให้กับพระมหาเถระ ซึ่งเป็นพระอาจารย์ของพระองค์ ในระหว่างที่พระองค์มิได้ทรงประทับอยู่ในพระนคร พระนางก็เสด็จไปยังวัดทุกเช้าทุกเย็น บางวันก็ไปนอนที่วัด เสด็จไปตอนเย็น ไปนอนค้างพักแรมที่วัด กลับก็ตอนเช้ามืด แล้วก็เปลี่ยนสวมชุดใหม่มาตลอด บางครั้งบางที ก็นำเสี้ยนหมากพลู ปูนขาว ไปถวายเป็นการเอาอกเอาใจในพระมหาเถระ บางครั้งก็ทรงประกอบอาหารอย่างประณีตไปให้กับพระมหาเถระองค์นั้น นางสนมกำนันเหล่านั้น บางคนก็เสริมเติมแต่งเรื่องราวให้ดูน่าเชื่อถือขึ้นอีก บางก็เท็จทูลว่า พระองค์ไม่เชื่อใช่ไหม พระองค์ก็ลองสังเกตผิวพรรณของพระมเหสีดูสิ ผิวพรรณของพระมเหสีของพระองค์ ดูเปล่งปลั่งมีน้ำมีนวลแม้ในขณะที่พระองค์ไม่อยู่ ซึ่งผิวพรรณดังกล่าวของพระมเหสี เกิดจากการรักษาศีล ประพฤติปฏิบัติธรรม ไม่บริโภคเนื้อสัตว์ ทานแต่อาหารมังสวิรัติ ทำให้ผิวพรรณดูผ่องใสเป็นยองใย และก็ได้ใส่ไฟใส่ร้ายป้ายสีหลายๆอย่าง จนทำให้เจ้าเมืองคุ้มเกิดความระแวงสงสัย ประกอบกับพระองค์เป็นคนโทสะจิต ถูกความลุ่มหลงงมงายเข้าครอบงำ อันเกิดจากความรักความหึงหวงในตัวของพระมเหสีผู้เป็นที่รักของพระองค์ พระองค์ไม่ได้ฟังเสียงอื่นใด ไม่มีการสอบสวนหรือฟังเหตุผลอื่นใด พระองค์มีแต่ความโกรธเข้าครอบงำ ได้สั่งให้เหล่าทหารของพระองค์ไปจับกุมพระมหาเถระดังกล่าวมาเพื่อที่จะทำการลงโทษด้วยการประหารชีวิตเสีย ฝ่ายพระมหาเถระ ผู้ประพฤติปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ รักษาศีล และพระวินัยอย่างเคร่งครัด ที่ไม่ได้รู้เรื่องราวอะไรด้วยเลย อันเป็นเหตุแห่งการอิจฉาริษยากันเองของบรรดาเหล่าสนมกำนัน ท่านพระมหาเถระรูปนี้ ก็รู้ด้วยวาระแห่งจิต และอาจจะเป็นผลกรรมชาติใดชาติหนึ่ง จึงยอมให้ทหารจับกุมเสียแต่โดยดี แม้จะปฏิเสธกับเจ้าเมืองคุ้มอย่างใด ด้วยโทสะจริต โมหะจริต เข้าครอบงำจิตใจของเจ้าเมืองพระองค์นี้เข้าเสียแล้ว แม้จะมีเหตุผลประการใดมาแก้ต่าง ก็คงไม่เป็นผลอันใด เจ้าเมืองได้สั่งให้ทหารนำพระมหาเถระองค์นี้ไปทำการประหารที่ลานประหาร ณ ทิศตะวันตกของเมือง (ปัจจุบันที่บริเวณแห่งนี้ก็ยังมีอยู่ให้เห็น โดยชาวบ้านได้เรียกบริเวณแห่งนี้ว่า “รอมสรี” หรือที่มีต้นศรีมหาโพธิ์ อยู่ตรงบริเวณกลางทุ่งนาบริเวณ ระหว่างบ้านหนองร่มเย็น ต.ร่มเย็น กับบ้านดอนลาว ต.เจดีย์คำ อ.เชียงคำ จ.พะเยา) (ส่วนตำนานเปื้อยเปียง ก็ได้เล่าต่อว่า พระมเหสีพระองค์นี้ก็ถูกแห่ไปประหารที่ดงบ้านเปื้อยเปียง แต่ก่อนไม่ได้เรียกอย่างนี้ แต่ด้วยสัจจะอธิษฐาน พระนางได้ทำการอธิษฐานให้ปลูกลูกเปื๋อย และอธิษฐานว่า หากนางไม่มีความผิด ขอให้ต้นไม้นี้จงเจริญเติบโตแต่มีความสูงเท่ากัน ดังที่เราได้เห็นว่า ต้นเปื้อยที่บ้านเปื้อยเปียงมีความสูงเท่าๆกันหมดทุกต้นอย่างน่าอัศจรรย์ใจ) เมื่อบรรดาเหล่าทหารเพชรฆาต ได้นำพระมหาเถระดังกล่าวมายังรอมสรี ได้มัดมือของพระมหาเถระ ประดับดอกบัวไว้ที่พุ่มมือ เอาผ้าปิดตา และผูกโยงไว้กับเสาหลักประหาร และได้ทำพิธีคล้ายกับการประหารนักโทษทั่วไปในสมัยนั้น แต่ก่อนที่จะได้ทำการประหารนั้น พระมหาเถระรูปนี้ ได้ตั้งจิตอธิษฐานก่อนที่เพชรฆาตจะลงมือ โดยได้เปล่งวาจาออกมาให้ได้ยินทั้งบรรดาเหล่าทหารและชาวบ้านที่เคารพศรัทธาในตัวพระมหาเถระว่า “ตัวเรานี้ เป็นพุทธบุตรขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราได้รักษาศีล รักษาพระวินัยอย่างเคร่งครัด ประพฤติปฏิบัติชอบ ทำการอบรมสั่งสอนแนะนำหลักธรรมสอนให้กับพุทธศาสนิกชน เพื่อนำใปเป็นหลักธรรมในการดำเนินชีวิตมาโดยตลอดมิได้ขาด หากแม้นว่า เราได้ทำผิดอย่างที่ท่านได้กล่าวให้โทษแก่เราแล้วไซร้ เมื่อท่านได้ให้เพชรฆาตได้ลงดาบแก่เรา ขอให้โลหิตเลือดของเราจงตกรดลงไปสู้พื้นปฐพี แต่หากแม้นว่า เรามิได้กระทำผิดดั่งที่ท่านกล่าวให้โทษเราแล้วไซร้ ขอให้เลือดของเราอย่าได้ตกลงสู่พื้นปฐพี จงล่องลอยขึ้นสู่นภากาศ อย่าให้ได้เปื้อนเป็นมลทินแก่พื้นปฐพีเลย นับต่อแต่นี้ไป หากเราได้ทำการมรณภาพสิ้นชีวิตไป หากเจ้าเมือง หรือผู้ปกครองผู้ใด ทำการปกครองบ้านเมืองแห่งนี้ (หมายถึงเมืองพุทธรสหรือเมืองชราว) โดยไม่ตั้งอยู่ในครรลองครองธรรม ไม่ซื่อสัตย์สุจริต ไม่ประกอบด้วยพรหมวิหาร 4 ไม่บริหารราชการแผ่นดินด้วยทศพิธราชธรรม มีแต่อคติความลำเอียง ขอให้ผู้ปกครองท่านนั้น อย่าได้มีความสุข อยู่ในตำแหน่งได้ไม่นานและมีอันเป็นไปทุกคน” ชาวบ้านและบรรดาพุทธศาสนิกชนเหล่านั้น ต่างก็พากันได้ยินคำตั้งจิตอธิษฐานของพระมหาเถระดังกล่าวทุกคน แต่ก็ไม่มีผู้ใดสามารถกล้าหาญคัดค้านหรือทูลขออภัยโทษของพระมหาเถระได้ เนื่องจากพากันเกรงกลัวพระราชอาญา ดังที่ว่า “กษัตริย์ตรัสแล้วมิคืนคำ” เมื่อพระมหาเถระกล่าวคำตั้งจิตอธิษฐานจบ บรรดาเหล่าทหารเพชรฆาตผู้ทำหน้าที่ ก็ได้ทำพิธีขอขมาลาโทษต่อพระมหาเถระ เจ้าหน้าที่พิธีก็ได้บรรเลงกลองปี่พาทย์ เพชรฆาตได้ร่ายรำ เมื่อถึงกำหนดเวลาก็ได้ลงดาบประหารพระมหาเถระดังกล่าว แต่เหตุการณ์ยังไม่จบลงแค่นั้น เมื่อเพชรฆาตได้ลงดาบจนคอพระมหาเถระขาด ก็เกิดเหตุการณ์ดั่งที่พระมหาเถระได้ตั้งจิตอธิษฐานไว้ เกิดลมพายุ ฟ้าร้อง มืดฟ้ามัวดิน เลือดโลหิตของพระมหาเถระ แม้จะโดนดาบที่คมกริบของเพชรฆาต กลับไม่ไหลลงมาเปื้อนพื้นปฐพีแม้แต่หยดเดียว แต่กลับล่องลอยขึ้นสู่นภากาศกระเด็นไปไกลถึงป่าแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ตรงข้ามกับรอมสรี ที่ปัจจุบันชาวบ้านทั่วไปได้เรียกว่า “ดงป่าแดง” โลหิตเลือดของพระมหาเถระได้ไปเกาะติดกับใบไม้โดยไม่ล่วงลงสู่พื้นดิน และที่น่าอัศจรรย์ที่มีมาให้เห็นจวบจนกระทั่งปัจจุบัน ที่ไม่มีใครพิสูจน์ได้ว่าเป็นเพราะอะไร ป่าไม้บริเวณแห่งนี้ ทุกต้นล้วนแต่มีใบสีแดง จนชาวบ้านพากันขนานนามว่า ป่าไม้ดงแดง เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวบ้านพากันเคารพนับถือเป็นอย่างมาก เมื่อทำการประหารเสร็จแล้ว บรรดาเหล่าทหารเจ้าพิธีก็ได้นำร่างอันไร้วิญญานของพระมหาเถระ ได้ทำพิธีและทำการฝัง ณ บริเวณรอมสรี โดยทำการสร้างสถูปเก็บรักษาอัฐิไว้จวบจนกระทั่งถึงปัจจุบัน ทุกเทศกาลวันสำคัญก็จะมีชาวบ้านมาทำการสักการะบูชาอยู่เป็นเนืองนิจ กล่าวถึงฝ่ายเจ้าเมือง หลังจากที่เกิดปาฏิหาริย์และสิ่งน่าอัศจรรย์ทำให้เชื่อได้ว่า ตนเองเป็นผู้มีความผิดอย่างมหันต์ ฟังความข้างเดียว มีโทสะจริตและโมหจริตความลุ่มหลงเข้าครอบงำ จะสำนึกผิดก็ไม่ทันการเสียแล้ว จะทำการได้เพื่อเป็นการไถ่บาปก็คงไม่สมกับบาปกรรมที่กระทำไว้ (ตรงนี้ ผู้เขียนก็ได้ฟังพ่ออุ้ยแม่อุ้ยเล่า ไม่ค่อยชัดเจนนัก บ้างก็ว่า หลังจากที่เกิดเหตุการณ์อัศจรรย์ดังกล่าวขึ้น เจ้าเมืองก็เกิดสำนึกผิด และตรอมใจตาย บ้างก็ว่า โดนชาวเมืองรุมประชาทัณฑ์บ้าง บ้างก็ว่า พระองค์เกิดสติวิปลาสกลายเป็นคนบ้าไป บ้างก็ว่า พระองค์ยอมสละราชสมบัติแล้วเสด็จออกบวชเป็นฤาษีจวบจนสิ้นอายุขัย หากใครมีข้อมูลที่พอจะเป็นสิ่งที่สอดคล้องและน่าเชื่อถือได้ ก็นำมาแบ่งกันให้รับรู้บ้างนะครับ จักขอบพระคุณยิ่ง) ตามตำนานพ่ออุ้ยแม่อุ้ยยังได้เล่าให้ฟังอีกว่า หลังจากที่เจ้าเมืองได้ตายไปแล้ว ก็ได้ไปตกนรกอเวจีอยู่นานและได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์เพื่อชดใช้กรรมอีกหลายชาติ และในการเกิดมาแต่ละครั้ง ก็จะเกิดเป็นคนบ้าใบ้สติไม่ค่อยสมประกอบ เคยมีคนเชื่อในเรื่องของคนประเภทนี้อยู่หลายท่าน แต่ผู้เขียนไม่กล้าเอามานำเสนอ กลัวจะกระทบต่อญาติพี่น้องของเขา เอาเป็นว่า ถ้าผู้คนที่อยู่ในย่านตำบลร่มเย็น ตำบลเจดีย์คำ น่าจะเคยได้ยินได้ฟังเรื่องราวที่ผมได้นำมาเรียบเรียงประติดประต่อให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น ก็น่าจะพอจับใจความและโยงใยเนื้อเรื่องให้เข้ากันได้กับที่เคยได้ยินได้ฟังพ่อแม่ปู่ย่าตายาย พ่ออุ้ยแม่อุ้ยเล่าให้ฟังได้นะครับ กล่าวกันว่า ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา หากยามใดที่มีผู้ปกครอง หรือเจ้าหน้าที่ที่มีตำแหน่งปกครองเมืองแห่งนี้ มารับหน้าที่ทำการปกครอง ไม่ตั้งอยู่ในครรลองครองธรรม ไม่ซื่อสัตย์สุจริต ไม่ประกอบด้วยพรหมวิหาร 4 ไม่บริหารราชการแผ่นดินด้วยทศพิธราชธรรม มีแต่อคติความลำเอียง ผู้ปกครองท่านนั้น ก็จะอยู่ในตำแหน่งได้ไม่นาน และมีอันเป็นไปทุกรายไป บ้านเมืองก็จะเกิดภัยพิบัติต่างๆมากมาย ทั้งข้าวยากหมากแพง ฝนแล้ง เกิดโรคระบาด เหมือนเป็นคำสาปที่อยู่คู่กับเมืองแห่งนี้มาจนกระทั่งปัจจุบันนี้ ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับอำเภอเชียงคำและความรู้ต่างๆที่อีกมากมายในเฟสของคุณ ท.ทิวเทือกเขา