แก้ไขล่าสุด ใน วันอังคารที่ 18 ธันวาคม 2012 เวลา 07:44 เขียนโดย นายตัวดี ท.ทิวเทือกเขา วันเสาร์ที่ 12 มีนาคม 2011 เวลา 11:45
อำเภอเชียงคำ เป็นอำเภอหนึ่งในจังหวัดพะเยา ตั้งอยู่ในบริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำลาว แม่น้ำยวน และแม่น้ำแวน ซึ่งเป็นลุ่มน้ำย่อยของลุ่มแม่น้ำอิง ในอดีตเป็นแอ่งอารยธรรมของชุมชนที่มีวิถีชีวิตที่ผูกพันกับสายน้ำ ความเป็นมาของอำเภอเชียงคำปรากฏในรูปแบบตำนาน 2 ตำนานในสมัยพุทธกาลที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธเจ้า ตามตำนานพระธาตุดอยคำ ฉบับวัดหนองร่มเย็น เมืองเชียงคำมีชื่อเดิมว่า เวียงชะราว ตั้ง อยู่ในพื้นที่บ้านคุ้มหมู่ 6 ตำบลร่มเย็น อำเภอเชียงคำ พระยาผู้ปกครองเมืองได้สร้างพระธาตุไว้บนดอยนอกเมืองเพื่อล้างบาป ต่อมามีผู้พบแหล่งทองคำขนาดใหญ่ ในลำธารหลังดอย ดอยนั้นได้ชื่อว่า “ดอยคำ” พระธาตุบนดอยก็ชื่อว่า “พระธาตุดอยคำ” เมืองชะราวก็เปลี่ยนชื่อเป็น “เมืองเชียงคำ”
![]() |
วัดพระธาตุดอยคำ ต.ร่มเย็น อ.เชียงคำ จ.พะเยา คลิ๊กที่ภาพข้างบน เพื่อดูข้อมูลและภาพเพิ่มเติม |
คำขวัญของ ตำบลร่มเย็น |
คุณชัยวัฒน์ จันธิมา ซึ่งได้ตีพิมพ์ครั้งแรกในหนังสือพิมพ์พลเมืองเหนือ ในบทความดังกล่าวได้กล่าวได้ดังนี้ |
ด้วยความสมบูรณ์ของชีวิตและความผูกพันต่อสายน้ำและป่าไม้ ชุมชนบ้านคุ้ม ได้รวมตัวกันรักษาประเพณีวัฒนธรรมพื้นบ้านอย่างต่อเนื่อง ตัวอย่างเช่น การเลี้ยงผีขุนน้ำและบวชป่าสืบชะตาต้นไม้ประจำทุกปี และที่โดดเด่นคือ การฟังเทศน์กลางแม่น้ำ หรือพระธรรมเทศนาพื้นเมืองเรื่องมัจฉาพระยาปลาช่อน ซึ่งริเริ่มโดยพระครูขันติวชิรธรรม เจ้าคณะตำบลร่มเย็น (ปัจจุบันเป็นรองเจ้าคณะอำเภอเชียงคำ) อันเป็นธรรมเทศนาขอฟ้าฝนตามคติโบราณที่ถือว่าใช้เทศน์ให้เกิดฝนตกต้องตามฤดู กาล
อดีตกาลผ่านมากว่า 700 ปี เมืองเชียงคำ หรือเมืองชะราว หรือเมืองพุทธรส มีผู้ปกครองเมืองนับตั้งแต่พญาคำแดงเป็นต้นมา เล่าสืบกันว่าเมืองแห่งนี้ คือ ชุมชนบ้านคุ้ม บ้านสบสา บ้านหนอง บ้านร้อง บ้านโจ้โก้ (ความเห็นจากผู้เรียบเรียง จากคำบอกเล่าของปราชญ์ชาวบ้าน พ่ออุ้ยแม่อุ้ย ที่ได้อยู่ทันเห็นเหตุการณ์และเคยอยู่ในหมู่บ้านแห่งนั้นแล้วได้พากันอพยพ ถิ่นฐานบ้านเรือน จากหมู่บ้านต่างๆเหล่านั้น ได้เล่าให้ฟังถึงว่า ในอดีตนั้น ยังมีหมู่บ้านอีกหลายหมู่บ้านในบริเวณใกล้เคียงในเขตตำบลร่มเย็น เช่น บ้านแขม บ้านก๊อด บ้านดงโค้ง บ้านทุ่งเก้าพร้าว บ้านหัวนาเต๊อะ บ้านบน บ้านร่องดินแดง บ้านปางงัว เป็นต้น ซึ่งหลายๆหมู่บ้านดังกล่าวในปัจจุบันไม่หลงเหลือให้เห็นเป็นสภาพหมู่บ้าน แล้ว เนื่องจากได้กลายเป็นทุ่งท้องนาไปเสียหมดสิ้น คงเหลือไว้ให้เห็นแต่สภาพอิฐดินเผาเก่าๆ บ้างที่ฝังอยู่ใต้ดิน เวลาชาวบ้านทำไร่ทำนา ก็ขุดพบเจอเป็นจำนวนมาก บางทีก็ขุดค้นพบข้าวของเครื่องใช้ที่ถูกฝังไว้เป็นจำนวนหลายชิ้นด้วยกัน) ในเขตตำบลร่มเย็น ซึ่งตั้งอยู่ด้านทิศตะวันออกของอำเภอเชียงคำ จังหวัดพะเยาในปัจจุบันนี้เอง
ในตำนานที่อ้างถึงเมืองพุทธรสแห่งนี้ ตำนานพระธาตุดอยคำ ตำนานวัดพระนั่งดิน ตำนานสิงหนวัตร และตำนานพระธาตุสบแวน ได้ลำดับเรื่องราวของการสร้างบ้านแปงเมือง โดยผู้ปกครองเมือง ที่มีความซื่อสัตย์สุจริต และเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ทำให้บ้านเมืองเจริญรุ่งเรืองสืบทอดกันมายาวนาน และแม้บางช่วงบางเหตุการณ์เช่นกัน ที่มีผู้ปกครองเมืองใจชั่วหยาบช้ากดขี่ประชาราษฎร จึงถูกฟ้าดินลงโทษทัณฑ์ แต่เมืองเชียงคำก็สงบสุขร่มเย็นและผ่านพ้นวิกฤตการณ์อันเลวร้ายเหล่านั้นมา ได้ตราบเท่าทุกวันนี้
![]() |
ภาพวาดตำนานการพบทองคำที่พระธาตุดอยคำ คลิ๊กที่ภาพข้างบน เพื่อดูข้อมูลและภาพเพิ่มเติม |
จากผู้เรียบเรียง “ตาม ตำนานเรื่องเล่า การพบแร่ทองคำระหว่างลำห้วย พ่ออุ้ยแม่อุ้ยได้เล่าเรื่องปรัมปรา ให้ฟังว่า ตะก่อนเคยมีแร่ทองคำไหลออกจากลำห้วย แล้วมีแม่หม้ายยากจนเป็นคนไปพบสายแร่ทองทองนี้เป็นคนแรก นางก็ได้เก็บเรื่องราวนี้ไว้เป็นความลับอยู่นาน เพราะนางถึงแม้จะเป็นคนยากจน แต่นางเป็นคนมีจิตใจที่มีคุณธรรมไม่โลภมาก บ้างก็เล่าว่า เพราะเทวดาสงสารนาง เลยเนรมิตให้นางพบกับแร่ทองคำนี้ เมื่อนางพบทองเป็นลักษณะนี้ นางก็ได้ใช้มีดทำการขูดเอาวันละเล็กละน้อยพอหลายวันเข้าก็ได้เยอะขึ้นแล้วนำ ไปขาย ทำให้ครอบครัวของนางมีฐานะดีขึ้น ชาวบ้านก็พากันแปลกใจ ไปถามนาง นางคนนี้ก็ไม่ตอบอะไร จนมีคอยแอบสังเกตและแอบตามนางไปที่นางไปหาของป่า จนไปเจอเข้ากับแร่ทองเหมือนกับทองแท่งที่ขวางเหมือนสะพานข้ามลำห้วย ก็พากันแตกตื่นไปทั่วเมือง เรื่องเลยไปถึงพระกรรณของผู้ปกครองเมืองสมัยนั้น ทำให้มีแต่ผู้คนมีความโลภ และผู้ปกครองเมืองสมัยนั้น ก็ได้สั่งให้คนรับใช้และทหาร จะพากันไปตัดทองนั้น เพื่อที่จะได้เยอะ โดยใช้อุปกรณ์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเลื่อย ขวาน มีด จอบ เมื่อมีความโลภ จิตไม่มีคุณธรรมดังนั้น อาจจะเพราะสิ่งศักดิ์หรือเทวดาที่คอยปกปักรักษาทองคำนี้ไว้ เมื่อมีคนใช้ขวานและเลื่อยตัดให้ขาด ปรากฎว่า ทองคำก็ขาดออกจากกันและได้ไหลเข้าไปในภูเขาเสียทั้งหมด ทำให้ไม่มีใครได้ทองคำนั้นอีกเลย พยามขุดหาเท่าไหร่ก็ไม่พบ นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ดอยแห่งนี้ก็เลยได้ชื่อว่าดอยคำ ซึ่งมีตำนานเรื่องเล่ามากมาย เช่น ตำนานการสร้างพระธาตุ ที่มีการขนทองคำบรรทุกบนหลังม้ามาเพื่อที่จะสร้างเจดีย์ เป็นต้น หากมีเวลาผู้เขียนจะได้นำไปลงไว้ที่เว็ปไซต์ www.kasetsomboon.org นะครับ ท.ทิวเทือกเขา”
ใน ปัจจุบันแม้หลักฐานทางประวัติศาสตร์ และร่องรอยของตำนานที่เล่าขานสืบกันมาจะทรุดพังและถูกทำลายลงตามเหตุแห่ง สมัย แต่สิ่งที่ปรากฏเป็นความสง่างามเหนือชุมชนแห่งนี้ คงยังมีให้ลูกหลานมองเห็นอยู่บ้าง อาทิ พระธาตุดอยคำ อันเป็นศูนย์รวมจิตใจของพุทธศาสนิกชนชาวเชียงคำทุกคน
อย่าง ไรก็ตามจากคำบอกเล่าของพ่ออุ้ยแม่อุ้ยและพระสงฆ์ในชุมชนแห่งนี้ หลายท่านระบุว่า ก่อนที่จะมาเป็นชุมชนบ้านคุ้ม-บ้านสบสานั้น ชุมชนดั้งเดิมตั้งอยู่บริเวณป่าเหนือหมู่บ้านขึ้นไปอีกราว 2-3 กิโลเมตร ที่เรียกว่า “ป่าห้วยน้ำสา” โดยบริเวณดังกล่าวพบซากอิฐเก่าของวัดร้างและเศษพระพุทธรูปจำนวนมาก เท่าที่ปรากฏให้เห็น ได้แก่ วัดพระธาตุทุ่งสา อยู่บริเวณป่าห้วยน้ำสา จากปากคำของพ่ออุ้ยแม่อุ้ยเล่าว่า ในวันสำคัญทางพุทธศาสนา จะมีแสงคล้ายดวงแก้วลอยขึ้นมาในบริเวณพระธาตุนั้น แล้วค่อย ๆ เคลื่อนมาวนเวียนที่พระธาตุดอยคำ จากนั้นก็ลอยมาที่วัดคุ้ม ลอยต่อไปยังวัดพระนั่งดิน และกลับมาเช่นเดิม เป็นอย่างนี้มาหลายชั่วอายุคนแล้ว นอกจากนี้ในบริเวณนั้น ชาวบ้านมักจะได้ยินเสียงประหลาดคล้ายเสียงฆ้อง เสียงกลองตีดังสนุกสนานเหมือนงานวัดอยู่บ่อย ๆ เช่นกัน วัดโป่งหนองขอน อยู่บริเวณไม่ห่างไกลจากวัดพระธาตุทุ่งสานัก ตามคำบอกเล่าได้ระบุว่ามี “บ่อจืน” (บ่อตะกั่ว) ในบริเวณนั้นด้วย ที่แห่งนั้นจะเป็นที่ถลุงเงิน ถลุงทองคำในอดีต ซึ่งตำนานได้กล่าวถึงสายแร่ทองคำในเขตนี้ด้วย ต่อมาชาวบ้านได้ถมบ่อนี้เพราะวัวควายมักจะตกลงไป
วัด ห้วยถ้ำอยู่บริเวณห้วยถ้ำหรือ “ดอยโปด” (ภูเขาถล่ม) ที่แห่งนี้เล่าว่า มีถ้ำที่เก็บพระพุทธรูปและวัตถุโบราณหลายอย่างในช่วงสงครามพม่า (ประมาณ พ.ศ. 2101) แต่ต่อมาน้ำได้เซาะดินเกิดถล่มปิดถ้ำไว้ หลายปีต่อมามีชาวบ้านรุ่นหลังไปขุดค้นและขโมยพระพุทธรูปออกมาได้จำนวนไม่ นอกจากนี้ยังมีการขุดค้นพบพระพุทธรูปออกมาได้จำนวนไม่น้อย บางส่วนก็เก็บรักษาบูชาที่วัดคุ้ม
นอก จากนี้ยังมีการขุดค้นพบพระพุทธรูปและข้าวของเครื่องใช้ในสมัยโบราณได้ที่ บริเวณ “วังกว๊าน” ปัจจุบันเป็นที่สวนและไร่นาของชาวบ้านไปแล้ว เล่ากันว่า เมื่อประมาณ 40 ปีก่อน “พ่ออุ๊ยหม่องคำ” ได้พบพระพุทธรูปทองจำนวนมากในบริเวณนี้โดยบังเอิญ ชาวบ้านแห่ไปขุด แต่ปรากฏว่ามีแต่ผงขี้เถ้า
![]() |
พระครูขันติวชิรธรรม “ตุ๊ลุงเพชร” ปราชญ์พระสงฆ์ รองเจ้าคณะอำเภอเชียงคำ คลิ๊กที่ภาพข้างบน เพื่อดูข้อมูลและภาพเพิ่มเติม |
พระครูขันติวชิรธรรม ปราชญ์พระสงฆ์ เจ้าคณะตำบลร่มเย็น เล่าให้ฟังว่า นอกจากพุทธสถานต่าง ๆ แล้ว บริเวณนี้ยังปรากฏร่องรอยของการทำการเกษตรของชุมชนดั้งเดิมด้วย คาดว่าจะเป็นการทำนา เพราะปรากฏมีคันนาบางแห่งซึ่งขณะนี้ได้ฟื้นเป็นป่าไปหมดแล้ว พ่ออุ๊ยแม่อุ๊ยหลายคนเล่าว่า บริเวณป่าห้วยสา ยังมีบริเวณที่เรียนกว่า “ทุ่งทัพ” อันเป็นที่พักของกองทัพที่มาตั้งในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น โดยปรากฏมีร่องน้ำหนึ่งชื่อ “ร่องขี้ม้า” แสดงว่าอาจจะมีกองทหารม้ามาตั้งอยู่ที่นี่ด้วย นอกจากนั้นยังมีทุ่งเลี้ยงสัตว์ และแหล่งน้ำที่ชาวบ้านเรียกว่า “กอดสองห้อง” และ”กอดป่าครั่ง”
พ่อ อุ้ยแม่อุ้ยหลายท่านช่วยกันวิเคราะห์ว่า การโยกย้ายวัดและชุมชนจากป่าห้วยสา ลงมาสู่บ้านคุ้มนั้นน่าจะมีสาเหตุมาจากการถูกรบกวนไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง อาจจะเป็นไชยภูมิในการรบหนึ่ง เนื่องจากบริเวณบ้านคุ้มมีสาขาน้ำยวนและร่องลำห้วยมากมาย เหมาะจะเป็นคูป้องกันข้าศึกได้ หรืออาจจะเป็นเพราะสมัยก่อนมีสิงสาราสัตว์มากชอบออกมารบกวนสัตว์เลี้ยงของ ชาวบ้านหนึ่ง หรืออาจจะเพราะมีพื้นราบมาก มีพื้นที่ชุ่มน้ำ “หนอง” ได้รับน้ำจากหลายสาย ฯลฯ
หลัง จากนั้นหนองและร่องน้ำบางสายก็ตื้นเขิน จึงมีการขยายชุมชนและมีราษฎรจากที่ต่าง ๆ โดยเฉพาะจากจังหวัดน่านอพยพมาตั้งถิ่นฐานเพิ่มเติมอีก ชุมชนบ้านคุ้มและบ้านสบสาก็ขยายเป็นบ้านหนอง บ้านร้อง บ้านโจ้โก้ ฯลฯ
ใน ส่วนชุมชนเก่าแก่ที่ปล่อยรกร้างว่างเปล่านั้น ก็กลับฟื้นเป็นป่าที่สมบูรณ์ กลายเป็นป่าใช้สอยหรือป่าชุมชนของชาวบ้าน แต่ในช่วงปี 2505 รัฐบาลกลับเปิดให้เอกชนสัมปทานป่าบริเวณนี้ ทำให้ไม้สัก ไม้มะค่า ไม้ตะเคียนถูกโค่นล้มลงไปจำนวนมาก นายทุนได้ใช้ช้างลากติดต่อกันหลายปี จนมีชื่อบริเวณหนึ่งว่า “ปางช้าง”
อย่าง ไรก็ตามประมาณช่วงปี พ.ศ. 2512 พ่อหลวงหวัน จอมนาสวน ได้รับเลือกให้เป็นผู้ใหญ่บ้านบ้านคุ้ม จึงประกาศให้ป่าห้วยสาเป็นเขตอนุรักษ์ป่าต้นน้ำ ห้ามมีการตัดไม้ทำลายป่าจากบุคคลภายนอกอย่างเด็ดขาด อนุญาตให้แต่เพียงคนในชุมชนที่ต้องการสร้างบ้านเท่านั้น แต่ก็ถูกท้าทายจากภายนอกบ้าง
สืบ ต่อกันเรื่อยมาจนถึงสมัยที่นายเจริญ แจ้งสว่าง ได้เป็นผู้ใหญ่บ้านประมาณปี 2533 ได้มีการตั้งกฎระเบียบป่าห้วยสาอย่างเข้มงวดอีกครั้ง มีการตั้งคณะกรรมการและลงโทษอย่างเด็ดขาด ทั้งนี้ได้เชิญหน่วยงานราชการป่าไม้เข้าร่วมดำเนินงานด้วย จนทำให้ป่าผืนนี้สมบูรณ์ที่สุดแห่งหนึ่งของอำเภอเชียงคำด้านตะวันออก
สำหรับ ป่าต้นน้ำห้วยสานี้ประกอบด้วยลำห้วยกว่า 10 สาขา ได้แก่ ห้วยถ้ำ ห้วยหวายฝาด ห้วยต้นหล้อง ห้วยแคแดง ห้วยครูบา ห้วยคาวตอง ห้วยน้ำบง ฯลฯ ไหลรวมกันเป็นห้วยน้ำสายาวประมาณ 30 กิโลเมตร ผ่านพื้นที่การเกษตรกว่าหมื่นไร่ ในสองตำบลได้แก่ ตำบลร่มเย็นและตำบลเจดีย์ อันเป็นพื้นที่ผลิตข้าว ข้าวโพด หอมแดง สร้างรายได้ที่มั่นคงให้แก่ประชาชน ทั้งนี้น้ำสานั้นมีไหลตลอดทั้งปีทำให้ทำการเพราะปลูกพืชได้ทุกฤดู
ด้วย ความสมบูรณ์ของชีวิต และความผูกพันต่อสายน้ำและป่าไม้ ชุมชนบ้านคุ้มได้รวมตัวกันรักษาประเพณีวัฒนธรรมพื้นบ้านอย่างต่อเนื่อง ตัวอย่างเช่นการเลี้ยงผีขุนน้ำและบวชป่าสืบชะตาต้นไม้ประจำทุกปี และที่โดดเด่นคือการฟังเทศน์กลางแม่น้ำ หรือพระธรรมเทศนาพื้นเมืองเรื่องมัจฉาพระยาปลาช่อน ซึ่งริเริ่มโดยพระครูขันติวชิรธรรม เจ้าคณะตำบลร่มเย็น อันเป็นธรรมเทศนาขอฟ้าฝนตามคติโบราณที่ถือว่าใช้เทศน์ให้เกิดฝนตกต้องตามฤดู กาล
เรื่อง พระยาปลาช่อนนี้ มีเรื่องเล่าอยู่ว่า ณ ดินแดนแห่งหนึ่งได้เกิดความแห้งแล้งทุกข์เข็ญยิ่งนัก แม่น้ำแห้งขอดจนกาและแร้งสามารถบินลงมาจิกกินกุ้ง หอย ปู ปลาในหนองได้ นอกจากนี้ข้าวกล้าไร่นาผู้คนก็แห้งตายไม่มีเหลือ พระยาปลาช่อนผู้มีใจกุศล อันก็คือพระโพธิสัตว์ ก็ได้แสดงปาฏิหาริย์บังเกิดให้มีฝนฟ้าตกลงมาโปรดสรรพสัตว์ทั้งหลาย ในที่นี้หมายถึงการสั่งสอนให้มนุษย์มีใจรักในหมู่ญาติพี่น้องของตน เมื่อญาติพี่น้องมีทุกข์ตนเองก็จะต้องช่วยเหลือเผื่อแผ่ซึ่งกันและกัน
ธรรม เทศนาปลาช่อนบทนี้อาจจะสอนใจคนในยุคสมัยปัจจุบันได้ดี หากทุกคนช่วยกันรักษาป่า รักษาแม่น้ำลำธาร ไม่ตัดไม้ทำลายแม่น้ำเพียงเพราะความเห็นแก่ตัวคนเดียว ซึ่งถ้ารักษาป่าก็หมายถึงการเกื้อกูลญาติพี่น้องนั่นเอง ป่าอยู่ได้ คนอยู่ได้ เมืองของเราก็มั่นคงถาวร ปรากฏการณ์เล็ก ๆ ที่เมืองเชียงคำน่าจะพิสูจน์ให้เราประจักษ์ได้ไม่มากก็น้อย
ทำความเข้าใจเกี่ยวกับเว็ปไซต์ www.kasetsomboon.org |
ข้อตกลงก่อนชมเว็ปไซต์ |
บทความบันทึกการเดินทางของเว็ปมาสเตอร์ นายตัวดี ท.ทิวเทือกเขา คลิ๊กอ่านได้เลยครับ มีทั้งหมดตอนนี้ 14 ตอน |