ธรรมะจากต้นไม้ ชุดที่ 1
ในพระพุทธศาสนามีวิธีการสอนธรรมโดยเปรียบเทียบอุปมาอุปไมยกับธรรมชาติรอบตัว ไม่ว่าจะเป็นสัตว์ ดวงอาทิตย์ ดวงดาว ก้อนหิน ภูเขา ทะเล หรือแม้แต่ต้นไม้ที่พระพุทธองค์สามารถหยิบจับมาสอนธรรมได้อย่างน่าอัศจรรย์ ดังครั้งหนึ่งที่ป่าไม้ประดู่ลาย พระ พุทธองค์ทรงถือใบประดู่ลาย 2-3 ใบแล้วถามภิกษุขึ้นว่า ‘ใบไม้ที่เราถือกับใบที่อยู่บนต้นอย่างไหนมากกว่ากัน’ ภิกษุก็พากันตอบว่าบนต้นไม้นั้นมากกว่า แล้วพระพุทธองค์ก็ตรัสถึงคำ สอนที่พระองค์รู้แต่มิได้บอกยังมีอีกมาก สาเหตุที่ไม่ตรัสบอกก็เพราะไม่ประกอบด้วยประโยชน์ แต่สิ่งที่ตรัสบอกล้วนเกี่ยวกับเรื่องทุกข์กับความดับทุกข์เท่านั้น หรือ เมื่อครั้งที่ทรงสอนถึงความร่มเย็นของหมู่ญาติ พระพุทธองค์ก็ประทับนั่งอยู่ภายใต้ต้นไม้ที่ยืนต้นสูงตระหง่านแต่ไม่มีใบทำ ให้ไม่เกิดร่มเงาเพียงพอให้พึ่งพิงได้ ผิดกับต้นไม้อีกต้นที่แผ่กิ่งก้านสาขามีใบปกคลุมไปทั่วทำให้มีร่มเงาเย็น สบาย เมื่อถูกถามขึ้นว่า ‘ทำไมพระองค์จึงประทับนั่งใต้ต้นไม้ที่ไม่มีใบในอากาศร้อนเช่นกันนี้ ไม่ประทับยืนอยู่ใต้ต้นไม้ที่เงาเย็นสบายอีกต้น’ พระพุทธองค์จึงได้ ตรัสสอนว่า ‘เชื่อว่าเงาแห่งหมู่ญาติเป็นของเย็นกว่า’ พระพุทธองค์ได้อาศัยร่มไม้ที่ไม่มีใบเหมือนคนที่ไม่มีญาติอยู่ที่ไหนก็เดือด ร้อนไม่สบายใจ ผิดกับคนที่แวดล้อมด้วยญาติถึงจะอย่างไรก็มีความอบอุ่นกว่ากัน …ต้นไม้ จึงไม่ใช่แค่มอบออกซิเจนให้กับเราเท่านั้น แต่ยังช่วยเป็นเครื่องเตือนสติให้เราได้อย่างมาก อย่างน้อยครั้งต่อไปที่เห็นต้นไม้สักต้น ควรยืนพิจารณาให้เกิดธรรมขึ้นมาสักนิดก็จะดีไม่น้อย… เหมือน ชาย 3 คน ทำงานไปก็สนทนาธรรมกันไป ‘ต้นไม้นี้ถ้าเราประสงค์จะโค่นทิ้งเสีย หากตัดออกแค่กิ่ง ก็จะมีกิ่งใหม่งอกออกมาอีก หรือตัดลำต้นทิ้ง ถ้ารากยังดีก็จะมีต้นใหม่งอกขึ้นมาอีก มีวิธีเดียวคือต้องขุดรากถอนโคน เช่นเดียวกับกิเลส คือ ความโลภ ความโกรธ ความหลงที่ยังฝังแน่นอยู่ในใจเรา ต่อให้ตัดกิ่งหรือต้นคือกิเลสตัวอื่นๆ ทิ้งไปแล้วก็ยังคงเหลือรากที่จะงอกงามต่อไปอีกไม่จบสิ้น ทางเดียวก็คือต้องขุดรากถอนโคนกิเลสทั้ง 3 ทิ้งไปเสีย ทุกอย่างจึงจะสิ้นสุด’ ชายคนแรกพูดขึ้น ‘ถ้าอย่างนั้นข้าขอเป็นเพียงต้นไม้ต้นเล็กๆ’ ชายคนที่ 2 กล่าวต่อ ‘ทำไมล่ะ’ ชายคนแรกถามขึ้น ‘ก็ ถ้าเป็นต้นไม้เล็กๆ ก็ถอนขึ้นง่ายกว่าต้นไม้ใหญ่ เหมือนข้ามีความอยากน้อย มีความสันโดษ มีความเป็นอยู่เรียบง่ายก็ถอนกิเลสได้ง่ายขึ้น แต่หากข้ามีความอยากมาก มีความเป็นอยู่ไม่เรียบง่ายคงเป็นเหมือนต้นไม้ใหญ่ที่ถอนรากไม่ใช่ง่ายเลย’ ชายคนที่ 2 ตอบ แล้วชายทั้ง 2 ท่านจะหันมาถามชายคนที่ 3 ‘แล้วท่านล่ะว่าอย่างไร’ แทนที่จะตอบเขาก็เดินถือปูนแล้วเทลงกับพื้น ‘ก็ นี่ไงคำตอบ จะสนใจไปทำไมกับเรื่องต้นไม้ หากดินไม่ดีเสียแล้วจะปลูกอะไรขึ้น เพราะไม่ว่าเราจะมีความอยากมากหรือน้อยขนาดไหน แต่หากไม่มีอะไรให้สนองความอยาก ต้นไม้แห่งกิเลสก็งอกเป็นต้นไม่ได้…อย่ามัวแต่อู้คุยกัน มาทำงานต่อ’ แล้วชายสองคนแรกก็ตัดกิ่งต้นไม้ที่เกะกะขวางถนน ส่วนชายอีกคนก็เทปูนทำถนนต่อไป พระมหาขวัญชัย กิตติเมธี สำนักงานส่งเสริมคุณธรรมจริยธรรมฯ วัดสระเกศ |
|
ทำความเข้าใจเกี่ยวกับเว็ปไซต์ www.kasetsomboon.org |
ข้อตกลงก่อนชมเว็ปไซต์ |
บทความบันทึกการเดินทางของเว็ปมาสเตอร์ นายตัวดี ท.ทิวเทือกเขา คลิ๊กอ่านได้เลยครับ มีทั้งหมดตอนนี้ 14 ตอน |