การเดินทางที่ยาวไกลยังไม่สิ้นสุด ตอนที่ 11แก้ไขล่าสุด ใน วันพุธที่ 31 ตุลาคม 2012 เวลา 10:25 เขียนโดย นายตัวดี ท.ทิวเทือกเขา วันเสาร์ที่ 18 กันยายน 2010 เวลา 01:00
ด้วยเหตุแห่งการตั้งหมู่บ้านขึ้นมาใหม่นี่เอง ทำให้เกิดความคิดการสร้างวัดขึ้นมา เป็นของหมู่บ้านตนเอง อ่านประวัติการสร้างวัดได้ที่นี่ …คลิ๊กเลยครับ เมื่อชาวบ้านได้พากันสร้างสำนักสงฆ์ขึ้นมาแล้ว ก็ได้พากันไปอาราธนานิมนต์ พระสงฆ์จากจังหวัดน่านมาจำพรรษา ทำให้ชีวิตของเด็กวัดอย่างผมได้เปลี่ยนไป เนื่องด้วยความคิดเดิมที่จะบรรพชาที่วัดดอนมูลนั้น ก็คงไม่ได้บรรพชาที่นั่นแล้ว ก็ต้องพากันกลับมาอยู่ยังสำนักสงฆ์แห่งนี้ ก็มีผมกับน้อยโรงซึ่งเป็นเด็กบ้านเกษตรสมบูรณ์เพียงสองคนในบรรดาเด็กวัดทั้ง หมดหกคนด้วยกัน การมาอยู่ยังสำนักสงฆ์แห่งนี้ทำให้ผมมีงานที่ต้องรับผิดชอบมากยิ่งขึ้น นอกจากการดูแลทำความสะอาดวัด การทำเวร การท่องบทสวดมนต์แล้ว ผมจะต้องมาช่วยกันขุดตอต้นยูคาลิปตัสออกอีก อย่างน้อยให้ได้วันละตอก็ยังดี จากนั้นก็จะต้องช่วยกันตัดหญ้า เนื่องด้วยเป็นสำนักสงฆ์แห่งใหม่ ที่ต้องดูแลเป็นพิเศษ ณ ที่ตรงนี้เอง ทำให้ผมต้องอยู่ท่ามกลางความคิดเห็นที่แตกต่างกันระหว่างชาวบ้านสองฝ่าย ซึ่งมีสาเหตุหลักมาจาก มีชาวบ้านกลุ่มหนึ่ง ไม่ต้องการให้มีการสร้างสำนักสงฆ์ขึ้น เนื่องด้วยกลัวว่าหากมีการสร้างขึ้นมาเป็นวัดกันจริงๆแล้ว จะต้องมีการเรี่ยไรเงินทอง เพื่อมาทำการสร้างวัดขึ้นใหม่ ความคิดเห็นที่แตกต่างเริ่มขัดแย้งมากขึ้นเรื่อยๆ จวบจนลุกลามไปถึงพระสงฆ์ที่อาราธนามาจำพรรษา ซึ่งท่านก็ไม่ได้รู้เรื่องและไม่ได้ตั้งใจมาอยู่เลย เพียงแต่ชาวบ้านอาราธนามาท่านก็เดินทางมาจำพรรษาให้ แต่ชาวบ้านส่วนหนึ่งก็ได้หาเรื่องท่านต่างๆนานา มีเหตุการณ์เกิดขึ้นอยู่เกือบทุกวัน ตอนสมัยผมเป็นเด็กวัด บางทีไปกับพระเพื่อบิณฑบาต บางบ้านที่ไม่เห็นด้วยก็ไม่ใส่ แถมขับไล่อีกตะหาก บางครั้งไปส่งปิ่นโต เขาก็ไม่รับ เมื่อความขัดแย้งเกิดความรุนแรงขึ้น ชาวบ้านกลุ่มที่ไม่เห็นด้วย ก็พากันไปขับไล่พระที่มาจำพรรษาให้ออกจากหมู่บ้านไป มีการด่าพระต่างๆนานา ซึ่งหลวงพ่อท่านก็ไม่ได้รับรู้อะไรเลย เพราะตอนท่านอยู่ที่วัดก็ไม่เคยอยู่นิ่ง ทำการพัฒนาวัดและสั่งสอนพวกผมเป็นอย่างดี จนในวันหนึ่งท่านคงทนไม่ได้ ที่อาจจะเป็นเพราะท่านคิดว่า ท่านคงจะเป็นส่วนหนึ่งของความขัดแย้งของชาวบ้าน ท่านจึงตัดสินใจที่จะไม่อยู่ ในคืนหนึ่ง มีชาวบ้านคนหนึ่งที่ไม่เห็นด้วยมีบ้านอยู่ทางหน้าวัดนั่นแหละ ได้ดื่มสุราจนเมามายและอาละวาดตะโกนด่าหลวงพ่อคำปัน ต่างๆนานา (ปัจจุบันคนๆนี้ก็ได้ตายไปแล้ว) ท่านก็ได้เดินเข้าไปในวิหาร ไปนั่งสวดมนต์ตั้งจิตอธิษฐานอยู่ในวิหารที่มุงด้วยหญ้าคา ที่ชาวบ้านได้สร้างถวาย ผมสังเกตเห็นหลวงพ่อท่าน นั่งภาวนาบริกรรมคาถา หรือตั้งจิตทำอะไรก็ไม่รู้ อยู่ตั้งนาน เหมือนกับการเขียนอะไรสักอย่างลงบนผ้าจีวร แล้วท่านก็ฝังกลบลงไปใต้ดินใต้ฐานพระในวิหารหลังเก่า พอรุ่งเช้า ท่านก็ตัดสินใจที่จะกลับไปอยู่ยังบ้านเกิดเมืองนอนของท่าน ที่บ้านแวนโค้ง อ.เชียงคำ จ.พะเยา มาถึงตรงนี้ ทำให้ตัวผมต้องตัดสินใจอีกแล้วว่าจะทำอย่างไร เพราะยังไม่ถึงเวลาบรรพชาเป็นสามเณร ขณะนั้นจำได้ว่าจบชั้นป. 6 แล้ว เป็นช่วงปิดเทอม และมีความรักมีความศรัทธาในตัวหลวงพ่อคำปันมาก ยังมีสามเณรที่ติดตามท่านมาอีกหนึ่งรูปนั่นก็คือสามเณรตาน ปัจจุบัน ไม่ทราบว่าท่านอยู่แห่งหนใด เพราะไม่ได้เจอท่านมาเกือบยี่สิบปีแล้ว ยังไง หากท่านยังพอจำเรื่องราวหรือเหตุการณ์ได้ ช่วยติดต่อมาหาผมบ้างนะครับ ดังนั้น ผมกับน้อยโรงจึงตัดสินใจที่จะไปกับหลวงพ่อท่าน และอาจจะไปบรรพชาที่วัดอื่น ก็เลยขออนุญาตพ่อกับแม่ ซึ่งแม่ก็ได้แต่ร้องไห้ ส่วนพ่อก็ไม่ได้ว่าอะไรมาก เพียงแต่อนุญาตแล้วว่าจะตามไปหาทีหลัง และแล้วความพลัดพรากจากอกพ่อกับแม่ก็เกิดขึ้น เมื่อตัดสินใจเดินทางไปพร้อมหลวงพ่อคำปัน ในวันที่ออกเดินทางมีชาวบ้านที่ต้องการให้หลวงพ่อคำปันอดทนอยู่ พากันร้องไห้ตามเป็นจำนวนมาก แต่สุดท้ายหลวงพ่อก็ได้พาพวกผมไปอยู่ที่วัดอะไรไม่รู้จำไม่ได้แล้ว ที่จังหวัดเชียงราย เป็นวัดบ้านแม่ลอยไร่ หรือ อะไรนี่แหล่ะ ไปทางบ้านเชียงบาน เข้าบ้านจำบอน ผ่านหมู่บ้านของพี่น้องชาวอีสานไป ไปอยู่ที่นี่หลายคืนเหมือนกัน จากนั้นหลวงพ่อคำปัน ก็ได้พาไปยังวัดดงสุวรรณ ที่อำเภอดอกคำใต้ ไปอยู่กับตุ๊ลุงเมืองใจ ซึ่งเป็นพระนักเทศน์อยู่หลายคืนเช่นกัน จากนั้นก็ได้กลับมาอยู่ยังวัดบ้านแวนโค้งซึ่งเป็นบ้านเกิดของท่าน
หลังจากเกิดเหตุการณ์ไฟไหม้ ก็ได้มีศรัทธาจากทั่วสารทิศ มาช่วยกันสร้างวัดของเราอย่างต่อเนื่องเสมอมา และเหตุการณ์ทางบ้านเราก็เริ่มสงบลง เมื่อมีการประท้วงไปถึงอำเภอเชียงคำ และยื่นเรื่องให้ผู้ใหญ่บ้านลาออกจากตำแหน่ง ซึ่งก็เป็นข่าวใหญ่โตทั้งทางหน้าหนังสือพิมพ์และโทรทัศน์ในสมัยนั้น สุดท้ายผู้ใหญ่บ้านก็ได้ลาออกจากตำแหน่ง และชาวบ้านส่วนหนึ่งที่ไม่เห็นด้วยกับการสร้างวัด ก็ได้พากันย้ายบ้านย้ายครอบครัวไปอยู่ที่บ้านโจ้โก้หลายสิบหลังคาเรือน หลังจากนั้นมาเหตุการณ์ในหมู่บ้านของพวกเราก็เริ่มมีความสงบสุขตั้งแต่บัด นั้นเป็นต้นมา เมื่อเหตุการณ์ในบ้านสงบลง พวกผมซึ่งเป็นสามเณรที่สำนักสงฆ์แห่งนี้ ซึ่งเป็นสำนักสงฆ์เล็กๆ ก็ไม่ได้มีเป็นไรเป็นพิเศษ เมื่อจำพรรษาอยู่ที่นี่ ก็ได้ช่วยกันดูแลสำนักสงฆ์ ซึ่งเป็นสำนักสงฆ์แห่งใหม่ ส่วนใหญ่แล้วทุกเช้าทุกเย็น ก็จะทำการขุดตอยูคาลิปตัส จนในวัดแทบจะไม่มีตอยูคาให้เห็นเลย ว่างๆผมก็จะขึ้นภูเขาอยู่เป็นประจำ เพื่อไปหาปลวกมาให้ไก่ที่ผมเลี้ยงไว้จำนวนมากที่สำนักสงฆ์แห่งนี้ และก็จะเดินไปเรียนนักธรรมตรีทีวัดบ้านโจ้โก้บ้าง ที่วัดหนองร่มเย็นบ้าง จนสามารถสอบนักธรรมชั้นตรีผ่านในปีนั้น เมื่อถึงวันที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2537 ผมก็ได้เริ่มเดินทางไกลอีกครั้งหนึ่ง เมื่อน้าสาวได้ขอให้เจ๊ใหญ่ที่เป็นเจ้าภาพในการบรรพชาของผม ได้ฝากกับพระมหาสนอง สุนันโท (ชูชื่น) ที่กุฏิ ก. 35 วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ราชวรมหาวิหาร หรือวัดโพธิ์ท่าเตียน (ขณะนี้ท่านสึกแล้ว และทำงานอยู่ที่ลาสเวกัส ประเทศสหรัฐอเมริกา) ท่านก็รับผมพร้อมทั้งสามเณรวุฒิพงษ์ หอมนาน หรือ น้อยโรง มาอยู่กรุงเทพด้วยกัน จำได้ว่า พ่อของผมกับพ่อของน้อยโรง ได้เดินทางไปส่งผมที่กรุงเทพ เป็นการเดินทางเข้ากรุงเทพครั้งที่สอง เพราะก่อนหน้านี้ เคยไปเที่ยวกับสามเณรรุ่นพี่คนหนึ่งคือสามเณรชาญวิทย์ สมประเสริฐ หรือหนานปั๋นนั่นเอง ไปนอนที่วัดลาว หรือวัดบางไส้ไก้ แถววงเวียนใหญ่อยู่สิบกว่าวัน หลังจากนั้นก็มาอยู่ที่สำนักสงฆ์เกษตรสมบูรณ์สืบมา |
||||
ทำความเข้าใจเกี่ยวกับเว็ปไซต์ www.kasetsomboon.org |
ข้อตกลงก่อนชมเว็ปไซต์ |
บทความบันทึกการเดินทางของเว็ปมาสเตอร์ นายตัวดี ท.ทิวเทือกเขา คลิ๊กอ่านได้เลยครับ มีทั้งหมดตอนนี้ 14 ตอน |