การเดินทางที่ยาวไกลยังไม่สิ้นสุด ตอนที่ 13แก้ไขล่าสุด ใน วันพุธที่ 31 ตุลาคม 2012 เวลา 10:32 เขียนโดย นายตัวดี ท.ทิวเทือกเขา วันอาทิตย์ที่ 10 กรกฏาคม 2011 เวลา 00:13
นานแค่ไหนแล้ว ที่ฉันปฏิเสธคำสั่งสอนของพ่อกับแม่ ที่พร่ำสั่งสอนฉันอยู่เสมอ ที่สอนให้ลูกทุกคน ร่ำเรียนจนเป็นเจ้าคนนายคน เพราะในความคิดหรือในความรู้สึกของพ่อกับแม่ และผู้คนในชนบทบ้านนอกอย่างพวกเรา ต่างพากันคิดว่า การเป็นข้าราชการ เป็นเจ้าคนนายคน มีเงินเดือนใช้ มันก็เหมือนกับน้ำบ่อซึมทราย กินได้ตลอดชาติ ไม่มีวันแห้งเหือด ที่พ่อกับแม่มักจะเปรียบให้ฟังอยู่เสมอ หลังจากที่ฉัน ได้เข้าไปสัมผัสและเกี่ยวข้องกับสังคมเหล่านั้น ทั้งทำหน้าที่เป็นอาจารย์สอน ทั้งอบรม ทำกิจกรรมร่วม มันทำให้ฉันเริ่มไม่มั่นใจว่า คำสอนเรื่อง การเป็นเจ้าคนนายคน อย่างที่พ่อกับแม่บอกฉันนั้น จะเป็นจริงอย่างที่พ่อกับแม่ของฉันได้บอกไว้ หรือไม่ ? เพราะฉันรู้สึกว่า ยิ่งคนมีอำนาจ มีตำแหน่งหน้าที่ใหญ่โตมากเท่าใด ก็ยิ่งทำให้เกิดความเห็นแก่ตัว เกิดการการเอารัดเอาเปรียบ เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว พวกพ้อง ก็มากยิ่งขึ้นเป็นทวีคูณ อุดมการณ์ อุดมคติ ที่เคยสั่งสม เคยมีมา ก็เริ่มเลือนหาย มีแต่ผลประโยชน์เท่านั้นที่มาเกี่ยวข้อง ฉันจึงจำเป็นต้องเดินออกจากสังคมเหล่านั้น จริงอยู่ มันขึ้นอยู่กับอุดมการณ์ของแต่ละคน ว่าใคร จะยึดมั่นได้ขนาดไหน แต่จะมีใครสักกี่คน ที่ทนแรงต้านเหล่านั้นได้ ฉันก็เป็นคนหนึ่งหล่ะ ที่ทนไม่ไหว ไม่ใช่เพราะฉันละทิ้งอุดมการณ์ ไม่ใช่เพราะฉันเข้มแข็งไม่พอหรืออ่อนแอเกินไป ไม่มีความอดทน แต่เพราะพวกเรา ไม่ใช่พระอริยะ ที่สามารถทนได้ทุกอย่างที่เกิดขึ้นได้ ถึงแม้ฉันจะมีอุดมการณ์ อุดมคติอยู่เต็มเปี่ยมในหัวจิตหัวใจ ครั้งหนึ่ง ฉันเคยคิดและมีอุดมการณ์ อยากจะสมัครเป็นครูดอย เพื่อสอนเด็กตามชนบท ตามภูเขา ตามชายแดน แต่แล้วโอกาสและอุดมการณ์ของฉันก็เปลี่ยนไปบ้าง เพราะไม่ค่อยมีโอกาส แต่ความรู้สึกสำนึกดั้งเดิมที่เคยมี ก็ไม่ได้จางหายไปไหน ฉันจึงเปลี่ยนรูปแบบมาใช้ในการอบรม โดยการให้ความรู้ควบคู่คุณธรรม รักษาวัฒนธรรมประเพณี ซึ่งสิ่งเหล่านี้ ฉันจะพยายามทำ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะสำเร็จได้มากน้อยขนาดไหน เพราะสังคมทุกวันนี้เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วมาก จนในบางครั้งฉันแทบจะเดินตามมันไม่ทัน และมันก็เป็นอุปสรรคและขวากหนาม เป็นเครื่องพิสูจน์และทดสอบจิตใจ ดั่งที่สุภาษิตที่กล่าวไว้ว่า “หนทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน” นานแค่ไหนแล้ว ที่ฉันรอคอย กับการกลับสู่ดินแดนแผ่นดินมาตุภูมิ ที่ฉันทั้งรักและหวงแหนยิ่งกว่าชีวิตของฉันอีก ฉันไม่ต้องการให้ หมู่บ้านดินแดนเกิดของฉัน พัฒนาไปโดยปราศจาก การรักษา การอนุรักษ์รากเหง้าที่แท้จริงดั้งเดิมเอาไว้ ทั้งทางด้านภาษา วัฒนธรรมประเพณี ที่เคยเห็น เคยสัมผัสมาตั้งแต่วัยเด็ก จริงอยู่ทุกสิ่งทุกอย่าง ย่อมมีการเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา อันนี้ฉันไม่เคยปฏิเสธเลย แต่เราก็สามารถรักษาและสืบทอดไว้ให้ได้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้มิใช่หรือ? ฉันกลับมองว่า “มนุษย์ต่างหาก ที่ปล่อยปะละเลย ไม่สนใจของดีมีคุณค่า เพราะว่าของดีเหล่านี้ มันมีคุณค่าในตัวของมันเอง” เหมือนกับเพชรแท้ ที่ไม่ว่าจะตกไปอยู่ ณ ที่หนแห่งใด อยู่ในสถานที่ใดก็มีคุณค่าในตัวของมันเอง อยู่ที่คนจะมองเห็นคุณค่าของมันหรือเปล่า หรือตกไปอยู่ในมือของคนที่ไม่เห็นประโยชน์ในตัวของมันต่างหาก บางคน อาจจะคิดว่า ฉันหัวโบราณ ในสิ่งนี้ฉันไม่ปฏิเสธ หรือ โต้เถียงว่า เป็นสิ่งไม่จริง แต่จะมีใครสักกี่คน ที่รู้ว่า ฉันได้ใช้เวลาหลายปี ในการเดินทางศึกษาหาความรู้ เรียนรู้วัฒนธรรมประเพณี ในวัฒนธรรมต่างๆ สัมผัสวิถีชีวิตผู้คน ตั้งแต่ยาจก วณิพกขอทาน ไปจนกระทั่งอภิมหาเศรษฐี ทั้งเจ้าคนนายคน ความศิวิไลซ์ เกือบทั่วโลก สิ่งที่ฉันได้สัมผัส ได้รับรู้ ได้เห็นนั้น ทำให้ฉันได้รับรู้ว่า มนุษย์ได้พัฒนาตนเองตั้งแต่ การไม่มีอะไรเลย จนกระทั่งไม่อยากให้มี ความเจริญตั้งแต่ต้องออกแรง จนกระทั่ง ใช้แค่สมองสั่งงาน ก็ทำตามคำสั่งได้ เพื่อสนองตัณหาความอยากของมนุษย์เองต่างหาก แต่ก็ไม่มีใครกล้ายืนยันว่า หรือให้คำตอบที่แน่ชัดว่า ความเจริญเหล่านั้น นำมาซึ่งความสุขที่แท้จริงแก่มวลมนุษย์จริงหรือไม่? หรืออาจจะเป็นความสุขแบบหลอกตัวเอง ซึ่งถ้าเปรียบเทียบกับคำสอนของพ่อแม่ ที่มักจะสอนว่า ทำงานหนัก ทำงานเหนื่อยแล้วทานข้าวอร่อย กับการสั่งอาหารจานละเป็นแสนมาทาน แล้วบอกว่ามีความสุข อันไหน ที่เป็นคำตอบที่แท้จริงกว่ากัน? บางครั้งฉันกลับมองว่า นี่นะหรือ ที่เขาเรียกว่า “การพัฒนา” เทียบไม่ได้เลยกับความสุขที่ฉันได้รับจากกลิ่นไอดิน กลิ่นหญ้า ที่บ้านเกิดของฉัน และนึกถึงคำสอนที่ ศาสตราจารย์ จิระโชค วีระสัย ตอนที่เคยศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยมหิดล ในเรื่องของโลกาภิวัตน์ ที่บอกว่า สักวันหนึ่ง เมื่อมนุษย์พัฒนาไปถึงจุดสูงสุด หรือถึงที่สุดแล้ว มนุษย์อาจจะต้องกลับมาศึกษาในเรื่องของมนุษย์ในยุคหินอีกก็เป็นได้ หรือ สนใจในสิ่งลี้ลับต่างๆ ซึ่งเท่าที่สังเกตทุกวันนี้ ความคิดหรือคำสอนนี้ ก็เริ่มที่จะเป็นจริงมากยิ่งขึ้น เพราะเท่าที่ฉันได้เดินทางไปรอบโลก ก็เห็นการพัฒนาทั้งทางด้านเทคโนโลยี และในด้านต่างๆ แต่ก็ยังไม่สามารถตอบสนองหรือทำให้มนุษย์ได้ถูกใจและมีความสุขที่แท้จริงได้ เราจะเห็นข่าวต่างๆ ทั้งหนังสือพิมพ์ ทีวี อินเตอร์เน็ต ว่า ผู้คนในสังคมที่เรียกว่า พัฒนาแล้ว กลับมีการฆ่าตัวตายมากขึ้น หรือ หันกลับเข้าสู่ธรรมชาติมากขึ้น ซึ่งก็น่าจะเป็นเครื่องยืนยันได้ว่า ความเจริญหรือการพัฒนา ไม่ได้ทำให้มนุษย์ค้นหาความจริงที่แท้ของชีวิตได้ นาน แค่ไหนแล้ว กับการรอคอย ที่จะทำความฝันของฉันให้สำเร็จ ได้ดั่งใจปรารถนา บางครั้งฉันยังคิด ยังมีจิตที่คิดตำหนิ คนที่มีบุญวาสนบารมีที่ดีไม่ได้ เพราะพวกเขามีต้นทุนสูงอยู่แล้ว ทำไม เขากลับไม่สนใจ ที่จะดำเนินชีวิตของเขา ตามรูปแบบที่น่าจะเป็นประโยชน์ได้มากกว่า แต่กลับใช้ต้นทุนเหล่านั้น ในการเอาเปรียบสังคมมากยิ่งขึ้น โดยไม่รู้จักคำว่าพอ และไม่เอื้อเฟื้อต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน และในที่สุด ก็ทำให้ฉันเข้าใจมนุษย์มากยิ่งขึ้น เพราะนี้แหล่ะ คือ มนุษย์ บางครั้ง ฉันก็แอบคิดว่า ทำไม่โลกไม่ค่อยยุติธรรม แต่ก็ทำให้นึกถึง คำสอนของ รองศาสตราจารย์ พินิจ รัตนกุล อาจารย์ผู้ประสิทธิ์ประสาทวิชาให้ เมื่อครั้งที่ได้ศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยมหิดล ที่ได้สอนเรื่องความยุติธรรมไว้ว่า “โลกนี้มันยุติธรรมดีแล้ว เพราะความยุติธรรมสำหรับมนุษย์นั้นได้แบ่งออกไปตามหน้าที่ของมัน ถ้าโลกใบนี้ทุกคนเหมือนกันหมด ดีเหมือนกันหมด ร่ำรวย ฉลาดเหมือนกันหมด ใครเล่า จะอยากมาทำหน้าที่ที่เราไม่พึงปรารถนาที่จะทำ เช่น อาชีพล้างห้องน้ำ สูบสิ่งปฏิกูล เก็บกวาดขยะ คงจะมีแต่คนอยากจะทำงานดีๆ ในห้องแอสบาย แต่ความยุติธรรมเหล่านี้ สามารถที่จะพัฒนาให้เท่าเทียมกันได้ ด้วยการศึกษา ด้วยประสบการณ์ ด้วยความคิดที่ดีได้ ” ดังนั้นแล้วโลกใบนี้จึงยุติธรรมดีที่สุดแล้ว หลายคนอาจจะเถียงในใจ ถ้าแก้ไม่ได้ ก็เอาเรื่องกรรม บุญวาสนาบารมีมาแก้แล้วกัน สำหรับตัวฉันนั้น ก็พยายามตามล่าหาความฝัน และจะพยายามทำความฝันนั้นให้สำเร็จให้ได้ ซึ่งอาจจะไม่ใช่เรื่องยากเท่าไหร่ สำหรับคนที่พอจะมีที่ดินอยู่แล้วบ้าง แต่สำหรับฉันนั้น ไม่มีเลย จำเป็นต้องเริ่มตั้งแต่บัดนี้ เริ่มก้าวแรก ที่ตั้งเป้าไว้ว่า ต้องการจะมีที่ดินสัก 5 ไร่ ในบ้านเกิดของฉัน บางครั้งก็มานั่งคิดว่า ทำไม ? มันช่างยากเย็นเหลือเกิน เพราะไม่เคยคิดเลยว่า ราคาที่ดินที่บ้านเกิดของตนเอง จะมีราคาตกไร่ละเป็นแสนบาท เพราะว่ามันกลายเป็นสินค้าสำหรับนักค้ากำไรเสียแล้ว แต่มาดูรายได้ของผู้คนในสังคมกลับไม่สมดุลกับราคาของที่ดินเหล่านั้น แต่สักวันฉันต้องทำความฝันของฉันให้เป็นจริงให้ได้ ก็ได้แต่หวังว่า คงจะไม่นานเกินไป และนี่เป็นเพียงก้าวแรก ในการเริ่มต้นชีวิตฆราวาส และอยู่ในช่วงปีแรกเท่านั้น ที่ฉันเริ่มเดินตามหาจุดหมายที่แท้จริง ความต้องการ ความสุขที่ฉันปรารถนา ถึงแม้รู้อยู่ว่า ความสุขที่จะได้มานั้น อาจจะต้องแลกมาด้วยหยาดเหงื่อ หรือ บางครั้งอาจจะเป็นคราบน้ำตาของลูกผู้ชาย แต่ฉันจะไม่หยุดก้าวเดิน ฉันนึกถึงคำสอน ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่เสมอว่า ให้เราอยู่กับปัจจุบันแล้วเราจะมีความสุข ฉันก็พยายามทำอยู่ตลอด และก็มีความสุขดีสำหรับการใช้ชีวิตอยู่ในปัจจุบัน แต่มนุษย์เรา ก็ยังต้องการไม่รู้จักพอ ที่แหล่ะธรรมชาติของมนุษย์ที่แตกต่างกันออกไป สำหรับเป้าหมายของฉันนั้น ฉันว่าเอาไว้ประมาณไม่เกิด 10 ปีต่อจากนี้ไป ฉันต้องต้องกลับมาอยู่แผ่นดินบ้านเกิดมาตุภูมิของฉันให้ได้ แบบมาอยู่ถาวร แล้วจะไม่ไปอยู่ที่ไหนอีก จวบจนลมหายใจสุดท้าย หลายคนอาจจะไม่เชื่อ ในสิ่งที่ฉันกล่าว หรือ อาจจะหาว่าฉันบ้า ฉันโง่ไปแล้ว มีโอกาสได้เดินทางไปไกลถึงต่างประเทศ ใครจะว่าอย่างไร หรือ พูดอย่างไร ฉันก็คงไม่สนแล้ว เพราะนี่หล่ะตัวของฉันชีวิตของฉัน หลายคนบอกกับฉันว่า อุตส่าห์ดิ้นรนดั้นด้นไปประเทศมหาอำนาจแล้ว ก็ให้อยู่ที่นั่นเลย สร้างครอบครัว สร้างฐานะ ในที่ที่เจริญกว่าบ้านเราเถอะ แต่ฉันคงผืนจิตใจที่มีความรักต่อแผ่นดินเกิด แผ่นดินแม่ของฉันไม่ได้ ฉันคงนอนตายตาไม่หลับหรอก ถ้าไม่ได้กลับมาทำความฝัน และทำในสิ่งที่ฉันฝันมาตั้งแต่เด็กก่อนสิ้นลมหายใจที่บ้านเกิดของฉัน ดังนั้นฉันจะพยายามยามอดทนและสู้ต่อไป ทุกวันนี้ก็ได้แต่ท่องคำว่า รอ อดทน ขยัน ประหยัด ซื่อสัตย์ กตัญญู รู้วินัย ห่างไกลอบายมุข ไว้ทุกวัน เพื่อจะได้ก้าวไปสู่จุดหมายได้เร็วขึ้น … นานแค่ไหนฉันก็จะทน รอหน่อยนะ บ้านเกิดที่รักของฉัน |
||||
ทำความเข้าใจเกี่ยวกับเว็ปไซต์ www.kasetsomboon.org |
ข้อตกลงก่อนชมเว็ปไซต์ |
บทความบันทึกการเดินทางของเว็ปมาสเตอร์ นายตัวดี ท.ทิวเทือกเขา คลิ๊กอ่านได้เลยครับ มีทั้งหมดตอนนี้ 14 ตอน |