ประวัติศาสตร์จังหวัดน่านแก้ไขล่าสุด ใน วันพุธที่ 31 ตุลาคม 2012 เวลา 10:45 เขียนโดย นายตัวดี ท.ทิวเทือกเขา วันอังคารที่ 29 กันยายน 2009 เวลา 10:39 * ประวัติศาสตร์จังหวัดน่าน ในโบราณสมัยเป็นอาณาจักรเล็กๆ ส่วนหนึ่งในลานนาไทยตั้งอยู่ในอาณาจักรใหญ่ที่มีจำนวนมากกว่า ทางทิศตะวันตกได้แก่ ลานนาไทย ซึ่งมีเชียงใหม่เป็น ราชธานีสำคัญ และพม่าซึ่งอยู่ถัดต่อไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ทางทิศเหนือและทิศตะวันออกเฉียงเหนือมีหลวงพระบางและสิบสองปันนา กับมีอาณาจักรสุโขทัยและกรุงศรีอยุธยาอยู่ทางทิศใต้ ฉะนั้นสภาพการของแคว้นน่านจึงตกอยู่ด้วยเหตุผลว่า ถ้าอาณาจักรใดมีอำนาจมาก แคว้นน่านก็ตกไปอยู่ในอำนาจของอาณาจักรนั้น ที่จะตั้งเป็นเอกราชโดยลำพังตนเองนั้น เท่าที่ปรากฏในประวัติความเป็นมา ที่น้อยที่สุด โดยถูกรั้งกันไปรั้งกันมาอยู่ จนกระทั่งอาณาจักรสยามได้รวบรวมอาณาจักรลานนาไทยทั้งหมดไว้เป็นอันหนึ่งอัน เดียวกัน เมืองน่านกับอาณาจักรลานนาไทย ดิน แดนจังหวัดน่านปัจจุบัน ในโบราณสมัยเป็นอาณาจักรเล็กๆ ส่วนหนึ่งในลานนาไทยตั้งอยู่ในอาณาจักรใหญ่ที่มีจำนวนมากกว่า ทางทิศตะวันตกได้แก่ ลานนาไทย ซึ่งมีเชียงใหม่เป็น ราชธานีสำคัญ และพม่าซึ่งอยู่ถัดต่อไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ทางทิศเหนือและทิศตะวันออกเฉียงเหนือมีหลวงพระบางและสิบสองปันนา กับมีอาณาจักรสุโขทัยและกรุงศรีอยุธยาอยู่ทางทิศใต้ ฉะนั้นสภาพการของแคว้นน่านจึงตกอยู่ด้วยเหตุผลว่า ถ้าอาณาจักรใดมีอำนาจมาก แคว้นน่านก็ตกไปอยู่ในอำนาจของอาณาจักรนั้น ที่จะตั้งเป็นเอกราชโดยลำพังตนเองนั้น เท่าที่ปรากฏในประวัติความเป็นมา ที่น้อยที่สุด โดยถูกรั้งกันไปรั้งกันมาอยู่ จนกระทั่งอาณาจักรสยามได้รวบรวมอาณาจักรลานนาไทยทั้งหมดไว้เป็นอันหนึ่งอัน เดียวกัน สมัยใดที่แคว้นน่านตกอยู่ในความปกครองของอาณาจักรสยามหรือ ลานนาไทยด้วยกัน สมัยนั้นความรุ่งเรืองร่มเย็นเป็นสุขก็มีเป็นปกติอยู่แก่บ้านเมือง เพราะอาณาจักรทั้งสองนี้ปกครองด้วยความยุติธรรมและปรารถนาดี ปราศจากเสียซึ่งการวิหิงสาเบียดเบียน ถ้าเมื่อใดต้องตกไปอยู่ในความปกครองของพม่า บ้านเมืองก็เดือดร้อนระส่ำระสายเพราะวิธีการปกครองของพม่าไม่เป็นการสร้าง สรรค์มีแต่จะทำลาย และกอบโกยหาผลประโยชน์ในเมืองขึ้นด้วยลักษณะทารุณกรรมนานาประการ ซึ่งปรากฏเป็นพฤติการณ์อันขมขื่นเกิดขึ้นแก่ชาติทั้งปวงที่ตกอยู่ในสมัยที่ พม่ามีอำนาจอยู่ทั่วๆ กัน นอกจากนี้แคว้นน่านยังถูกรุกรานราวีจากเพื่อนบ้าน ซึ่งมาจากทางหลวงพระบางและสิบสองปันนา บางคราวก็สามารถตีทัพเหล่านี้แตกไป บางคราวก็พาลเสียบ้านเมืองหรือต้องอพยพเข้าป่าถอยร่นไปตั้งอยู่ในเมืองตอน เหนือบ้าง ตอนใต้บ้าง ไม่ใคร่เป็นปกติ นับเป็นประวัติความเป็นมาของแคว้นน่านในยุคโบราณกาล เมืองน่านกับอาณาจักรลานนาไทย ยกทัพมาติดนครชัยปราการ พระเจ้าสิริ-ชัยเห็นเหลือกำลังที่จะต้านทาน จึงอพยพพลเมืองและสมัครพรรคพวกกันลงมาทางใต้ภายหลังเชื้อวงศ์เชียงรายจึงได้ ไปเป็นกษัตริย์สำคัญขึ้นในกรุงสุโขทัย และเมืองสุพรรณภูมิเรียกว่า “ราชวงศ์เชียงราย” เป็นลำดับต่อไป ฝ่ายข้างอาณาจักรลานนาตั้งแต่พระเจ้าสิริชัยทิ้งนครชัยปราการอพยพมาทางใต้ แล้วจำ-เนียรกาลต่อมาพวกไทยที่เหลืออยู่ก็ควบคุมกันตั้งบ้านเมืองขึ้นหลาย แห่ง ต่างฝ่ายต่างตั้งเป็นอิสระแก่กัน ตลอดทั้งอาณาจักรในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๖ หัวเมืองต่างๆ ที่เป็นนครใหญ่ที่สำคัญมี ๓ นคร คือ – นครเงินยาง (เชียงแสน) ตั้งอยู่ฝ่ายเหนือ – นครพะเยา ตั้งอยู่ตอนกลาง – นครหริภุญชัย ตั้งอยู่ฝ่ายใต้ และนครน่านก็เชื่อว่าได้กำเนิดขึ้นแล้วในยุคนั้น แต่เค้าเงื่อนตามพงศาวดารโยนกอันกล่าวถึงตำนานฝ่ายเหนือได้ความว่า ขอมซึ่งตั้งอยู่ ณ เมืองละโว้ได้มามีอำนาจปกครองอาณาจักรลานนาทั้งหมด โดยให้ราชธิดาอันมีนามว่า “พระนางจามเทวี” ขึ้นครองเมืองหริภุญชัย (เมืองลำพูน) ต่อมาในราว พ.ศ. ๑๖๐๐ เมื่อพระเจ้าอนุรุธราชา- ธิราชแห่งกรุงพุกาม แผ่อาณาจักรเข้ามาในลุ่มน้ำเจ้าพระยาขับไล่ขอมออกไป ต่อมาพวกลานนาได้กลับตั้งตัวเป็นใหญ่ขึ้นที่เมืองเชียงแสนอีกวาระหนึ่ง ผู้ที่เป็นปฐมกษัตริย์ต้นวงศ์นี้ มีนามว่า “จักกราช” ซึ่งมีกษัตริย์สืบราชวงศ์ครองเมืองอยู่ทั่วอาณาจักรลานนาทั้งปวง ตามตำนานอันว่าด้วยลำดับวงศ์จัก-กราชข้างฝ่ายเมืองน่าน ก็ยืนยันไว้ว่ากษัตริย์ครองเมืองน่านในยุคโบราณได้สืบมาจากวงศ์นี้ด้วย กำเนิดของเมืองน่าน พระยา ลาวจังกาเรือนแก้ว ก็เสียเมืองไชยวรนครเชียงรายให้แก่พระยาน่านหรือนันทบุรีผู้ชื่อว่า “พระยากือคำล้าน” ราว พ.ศ. ๑๕๑๘ ประการหนึ่ง กับเมื่อขุนเจืองกษัตริย์เมืองพะเยา ลำดับที่ ๒ มีอายุได้ ๑๖ ปี คือ พ.ศ. ๑๖๕๗ ได้มาคล้องช้าง ณ เมืองน่าน พระยาน่านผู้มีนามว่า “พลเทวะ” ยกราชธิดานามว่า “พระนางจันทรเทวี” ให้เป็นภรรยาของขุนเจืองประการหนึ่ง หรือในขั้นหลังที่สุด เมื่อขุนเจืองได้ปราบดาภิเษกครองเมืองแกวได้ ๑๔ ปี คือ พ.ศ. ๑๖๙๑ มีโอรสกับพระนางอู่แก้วราชธิดาพระยาแกว ๓ องค์ ผู้พี่ชื่อ “ท้าวอ้ายผาเรือง” ผู้กลางชื่อ “ท้าว ยี่คำหาว” ผู้น้องชื่อ “ท้าวสามชุมแสง” ครั้นราชกุมารทั้งสามเจริญวัยแล้ว จึงยกราชสมบัติเมืองแกวให้แก่ท้าวอ้ายผาเรืองผู้เป็นราชโอรสองค์ใหญ่ แล้วโอรสผู้กลางชื่อท้าวยี่คำหาวให้ไปเป็นพระยาครองเมืองลานช้าง และโอรสผู้น้องอันชื่อท้าวสามชุมแสงมาเป็นพระยาครองเมืองนนทบุรี (น่าน) ดังนี้ แม้จะไม่ปรากฏหลักฐานชัดเจนว่า เมืองน่านเดิมได้ตั้งเป็นรากฐานขึ้นในครั้งใดก็ดีแต่ตามเรื่องราวของเมือง อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับเมืองน่านในสมัยต่างๆ ข้างต้นนี้ ทำให้เห็นได้ว่าเมืองน่านได้ตั้งมานานแล้วเท่าๆ กับหรือเก่าแก่กว่าเมืองโบราณบางเมืองในลานนาไทยด้วยกัน ซึ่งต้องมีหลักฐานมาก่อนตั้งที่เมืองวรนครนี้ อนึ่ง ในรัชสมัยของพระเจ้าพ่อรามคำแหง (พ.ศ. ๑๘๒๐ – ๑๘๖๐) ปรากฏในศิลาจารึกว่าเมืองน่านเป็นเมืองประเทศราช ขึ้นแก่กรุงสุโขทัยเมืองหนึ่งจึงเข้าใจว่าเมืองน่านในครั้งนั้นมิใช่แต่จะ ได้มีกำเนิดขึ้นด้วยอายุอันช้านาน ยังได้รวมกันตั้งอยู่เป็นบ้านเมืองมีเขตแดนเป็นปึกแผ่นแล้วอีกด้วย แม้จะยังไม่กว้างขวางใหญ่โต แต่ก็คงเป็นเมืองชั้นราชธานี จึงจัดเข้าอยู่ในอันดับว่าเป็นเมืองประเทศราชเช่นเดียวกับเมืองใหญ่อื่นๆ ที่ขึ้นแก่กรุงสุโขทัย นามเมือง เป็น นามที่ไพเราะและมีความหมายเป็นมงคลนาม แต่ก็มีหลายพยางค์และเรียกยาก ความที่ไม่นิยมในการที่จะต้องเขียนหรือเรียกกันยืดยาว จึงหันกลับมานิยมนามเมืองไปตามเดิมว่า “เมืองน่าน” ตราบมาจนถึงปัจจุบัน อนึ่ง ในตำนานพระอัฒภาค เรียกชื่อเมืองน่านว่า “นันทสุวรรณนคร” และในตำนานชิน-กาลมาลินี เรียกว่า “กาวราชนคร” นัยว่าเป็นแคว้น “กาว” ซึ่งเลือนมาจากคำว่า “แกว, กอย, ก้อ และกุ๊ย” ซึ่งเป็นภาษาจีนแปลว่า “ผี” หรือ “พวกดำมืด” (อนารยะ) อันหมายถึงชนชาติที่น่าอาศัยอยู่ใน แคว้นน่านแต่ดึกดำบรรพ์ ตำนานเก่าๆ มักเรียกเมืองน่านอีกคำหนึ่งว่า “กาวน่าน” คำนี้น่าจะถูกเรียกจากชนชาติที่เจริญอันอยู่ทางเหนือ เพราะคำว่า “น่าน” มีสำเนียงคล้ายกับคำจีนว่า “น่าง” ซึ่งแปลว่าทิศใต้ ฉะนั้น “กาวน่าน” ก็คือ “คนดำที่อยู่ทางทิศใต้” นั่นเอง ความข้อนี้อาจผิดหรือถูกก็ได้แต่ก็ปรากฏว่าได้มีพวก “กาว” หรือ “แกว” ฝ่ายตะวันออกอันอยู่ใกล้เคียงกับกาวฝ่ายใต้อยู่อีกพวกหนึ่งคือญวนในปัจจุบัน และนามของแคว้นน่านเดิมน่าจะมีนามมาจาก “กาวน่าน” ตามตำนานเก่าและเหตุผลที่กล่าวแล้ว น่าจะถูกต้องกว่านามอื่นๆ ต่อมาเมื่อชนชาติพวกหนึ่งได้อพยพตั้งอยู่ในแถบแคว้นกาวน่านแล้ว คำว่า “กาว” จึงได้หายไป คงเหลือเฉพาะแต่คำว่า “น่าน” เป็นนามเมืองมาจนถึงปัจจุบัน อย่างไรก็ตามเป็นแต่เพียงข้อสันนิษฐานเท่านั้น อาณาเขตเมืองน่านในสมัยโบราณ เดิม และทางตะวันตกท้องที่ในแถบลุ่มแม่น้ำยมก็เข้ามารวมอยู่ในเขตของอำเภอเมือง น่าน แต่อาณาเขตทางทิศเหนือนั้น น่าจะถูกร่นมามาก เพราะในระยะหลังปรากฏว่าถูกแคว้นล้านช้างและแกวรุกรานเข้ามาจนถึงชานเวียง ฉะนั้น อาณาเขตของเมืองน่านจึงย่อมเอาเป็นยุติมิได้เลย เพราะเกี่ยวกับการขยายและการแผ่อำนาจของบ้านเมืองใกล้เคียงอยู่เป็นปกติ ต่อมาเมื่อหัวเมืองใหญ่น้อยในลานนาไทยทั้งปวงได้ตกเป็นอาณาเขตของพระราชอาณา -จักรสยามแล้ว คือเมื่อครั้งทางการปกครองยังยกเมืองใหญ่ๆ ในลานนาไทยให้เป็นเมืองประเทศราชขึ้น ตรงต่อกรุงเทพมหานครนั้น ด้วยความสวามิภักดิ์และความอุตสาหะวิริยภาพของเจ้าผู้ครองนครน่านได้เป็น กำลังสำคัญในพระราชสงครามทางฟากแม่น้ำโขงอย่างแข็งแรงเป็นอันดีได้เพิ่มพูน ดินแดนที่ตีได้เข้ามาอยู่ในความปกครองของจังหวัดน่านเป็นบำเหน็จรางวัลเป็น อันมากและนับแต่ ร.ศ. ๑๒๒ มาจนถึงระยะหลังสุดก่อนถึงปัจจุบัน จังหวัดน่านมีอาณาเขต ดังนี้ – ทิศเหนือ จดฝั่งแม่น้ำโขง ที่เมืองเชียงของ จังหวัดเชียงราย – ทิศตะวันตก โอบอาณาเขตบางส่วนของจังหวัดเชียงรายทางแม่น้ำอิง เรื่อยลงมาจนจดเข้าไปในเขตแม่น้ำยมท้องที่อำเภอปง อำเภอเชียงม่วน จังหวัดพะเยาและติดต่อกับจังหวัดลำปางและจังหวัดแพร่ – ทิศตะวันออก จากทิศเหนือล่องตามฝั่งแม่น้ำโขง ตัดตรงลงมาทางเมืองเชียงลม เชียงฮ่อน ไปเมืองเงิน แล้วไปจดทิวเขาหลวงพระบาง ซึ่งทอดลงมาทางใต้ – ทิศใต้ เลยเข้าไปในจังหวัดอุตรดิตถ์ สิ้นเขตที่บ้านผาเลือด อำเภอท่าปลา กับมีเมืองสิงห์, เมืองนัง, เมืองหลวงน้ำทา, เมืองภูคา, เมืองเชียงราบ, เมืองเชียงแข็ง ซึ่งอยู่ตามฟากแม่น้ำโขงฝั่งซ้ายเป็นเมืองขึ้นอีกด้วย สมัยกรุงสุโขทัย อั้วลิ มกับบุตรชายชื่อว่าอามป้อมมาครอง ภายหลังนางอั้วลิมเกิดผิดใจกับพระยางำเมืองด้วยเรื่องเป็นเชิงว่าพระยางำ เมืองระแวงในความจงรักภักดีของนาง นางเจ็บใจจึงร่วมคิดกับขุนใส่ยศ เจ้าเมืองปราดแข็งเมืองต่อพระงำเมืองและมาตั้งอยู่ที่วรนคร แล้วขุนใส่ยศกับนางอั้วลิมก็สมสู่อยู่ด้วยกันฉันท์สามีภริยา ความทั้งนี้ทราบถึงพระยางำเมืองจึงยกกองทัพมาตีวรนคร ทางฝ่ายเมืองวรนครให้เจ้าอามป้อมเป็นทัพยกออกไปเมื่อกองทัพทั้งสองฝ่ายได้ ปะทะทำการรบกันเพียงเล็กน้อย พระยางำเมืองก็เลิกทัพกลับไป นับว่าเกิดความสลดพระทัยในการที่บิดากับบุตรต้องมาทำสงครามกัน ต่อจากนี้ขุนใส่ยศได้อภิเษกเป็นเจ้าเมืองวรนคร มีนามว่า “พระยาผานอง” ในปี ๑๘๖๕ นับแต่นั้นมาการเกี่ยวข้องระหว่างแคว้นพะเยากับแคว้นน่านก็ขาดตอนไปเฉยๆ ไม่มีเรื่องกล่าวถึงกันอีกเลย ส่วนการเกี่ยวข้องระหว่างเมืองน่านกับกรุงสุโขทัย ได้ความตามศิลาจารึกของพ่อขุนรามคำแหงว่า เมืองน่านเป็นเมืองประเทศราชของกรุงสุโขทัย ข้อความทั้งนี้ไม่มีปรากฏในพงศาวดารเมืองน่าน และไม่ทราบว่าไปขึ้นในปีใด ศิลาจารึกนี้เข้าใจว่าจารึกในราว พ.ศ. ๑๘๓๕ พ่อขุนรามคำแหงเสวยราชย์เมื่อราว พ.ศ. ๑๘๒๐ ถ้าคิดอย่างไม่ละเอียดก็ตกอยู่ในระหว่างรัชสมัยของพ่อขุนรามคำแหงระยะ ๑๕ ปีนี้ ปัญหาจึงมีว่าเมืองน่านไปขึ้นแก่แคว้นพระเยาก่อนหรือกรุงสุโขทัยก่อน แต่ข้อนี้เมื่อวิจารณ์ตามรัชสมัยของกษัตริย์ทั้งสองพระองค์นี้ คือ พระยา งำเมืองเสวยราชย์เมื่อ พ.ศ. ๑๘๐๑ และพ่อขุนราม-คำแหงเสวยราชย์เมื่อ พ.ศ. ๑๘๒๐ โดยถือว่าเมืองน่านคือวรนครเป็นหลักแล้ว ก็ต้องเข้าใจว่าเมืองน่านต้องขึ้นแก่แคว้นพะเยาก่อน เพราะถ้าขึ้นแก่กรุงสุโขทัยก่อนแล้ว พระยางำเมืองจะมาตีเมืองน่านมิได้เลย ด้วยเมืองน่านขึ้นแก่กรุงสุโขทัยอยู่ในระหว่าง พ.ศ. ๑๘๒๐ – ๑๘๓๕ และการที่พระยางำเมืองจะมาชิงเมืองขึ้นของพ่อขุนรามคำแหงนั้นย่อมเป็นไปไม่ ได้ เพราะปรากฏว่าแคว้นพะเยาในสมัยนั้นไม่มีกำลังพอที่จะแย่งอำนาจกับเมืองใหญ่ เช่น กรุงสุโขทัยได้ แม้ว่าจะเป็นอันยุติว่า เมืองน่านขึ้นต่อแคว้นพะเยาก่อนกรุงสุโขทัยแล้วก็ดี แต่เมื่อได้ใคร่ครวญถึงปีที่พระยาผานองแข็งเมืองต่อพระยางำเมือง และขึ้นครองเมืองวรนคร ใน พ.ศ. ๑๘๖๕ แล้วก็ทำให้ฉงนอีก เพราะเมืองน่านขึ้นแก่กรุงสุโขทัยในระหว่าง พ.ศ. ๑๘๒๐ – ๑๘๓๑ ดังกล่าวแล้ว ถ้าเช่นนั้นคำที่ปรากฏในศิลาจารึกว่าเมืองน่านอาจไม่อยู่ในวรนครก็เป็นได้ เมืองย่างเป็นเมืองเดิมอยู่ในแคว้นน่าน ส่วนวรนครเพิ่งจะเกิดทีหลังในราว พ.ศ. ๑๘๒๕ ชะรอยเมืองน่านในศิลาจารึกนั้น จะได้แก่เมืองย่างและคงจะไปขึ้นแก่กรุงสุโขทัยก่อน พ.ศ. ๑๘๒๕ คือประมาณ พ.ศ. ๑๘๒๐ – ๑๘๒๔ ซึ่งก่อนกำเนิดของเมืองวรนคร เมืองวรนครจึงตั้งอยู่เป็นอิสระ แม้สองเมืองนี้ภายหลังจะเป็นเมืองอันหนึ่งอันเดียวกัน แต่เมืองวรนครก็เพิ่งจะตั้งขึ้นใหม่เป็นเอกเทศ ซึ่งพระยางำเมืองก็คงจะถือว่าเมืองวรนครเป็นเมืองอิสระอยู่อีกส่วนหนึ่งต่าง หาก จึงได้ยกกำลังเข้ามาครอบครอง ฝ่ายพระยาผานองเมื่อได้มาตั้งอยู่ที่วรนครแข็งเมืองต่อแคว้นพะเยาแล้ว ในชั้นนี้เองที่ได้เข้าไปสวามิภักดิ์ขอขึ้นต่อกรุงสุโขทัย ด้วยเหตุนี้เมื่อพระยางำเมืองยกทัพมาปราบวรนคร จึงต้องเลิกทัพกลับไป คงมิใช่เกิดความสลดใจที่จะต้องทำการรบกับลูกอกตัญญูเป็นแน่ ต่อมา เมื่อพระยาเก้าเถื่อนเจ้าเมืองย่างถึงแก่พิราลัยแล้ว เมืองย่างก็รวบเป็นเมืองเดียวกับวรนคร อันดับกาลต่อไป ทางกรุงสุโขทัย เมื่อพ่อขุนรามคำแหงสวรรคตแล้ว ราชโอรสได้ขึ้นครองราชย์เป็นรัชกาลที่ ๔ ทรงพระนามว่า พระเจ้าฤไทชัยเชษฐ์ หรือพระเจ้าเลอไทในรัชกาลนี้พระเจ้าแสนเมืองมิ่ง พระเจ้ากรุงเมาะตะมะแห่งราชวงศ์ฟ้ารั่วแข็งเมือง แล้วยกกองทัพมาตีเมืองทวาย เมืองตะนาวศรีของอาณาจักรสุโขทัยได้ในปี พ.ศ. ๑๘๖๑ พระเจ้าฤไทยชัยเชษฐ์แต่งกองทัพไปปราบปรามก็ไม่สำเร็จ แต่นั้นมาอาณาจักรสุโขทัยก็เสื่อมลง เป็นเหตุให้บรรดาหัวเมืองขึ้นชั้นนอกพากันกระด้างกระเดื่องขึ้นเป็นลำดับ ฝ่ายทางอาณาจักรลานนาไทยราชวงศ์พระยาเม็งรายได้สืบราชสมบัติต่อกันมาจนถึง พระ-ยาคำฟู ได้รวบรวมแคว้นลานนาอันมีเมืองหริภุญชัย พะเยา และเงินยางให้กลับรวมกันเข้าเป็นอาณา-จักรอันเดียวกัน ต่อจากกษัตริย์องค์นี้มาอีกองค์เดียว ก็ย้ายราชธานีจากเชียงแสนไปตั้งอยู่ที่เชียงใหม่ตามเดิม ส่วนอาณาจักรสุพรรณภูมิอันตั้งอยู่ทางทิศใต้ถัดจากอาณาจักรสุโขทัยลงไป เมื่อเจ้าเมืองอู่ทองถึงแก่พิราลัยแล้ว เชื้อสายราชวงศ์เชียงรายผู้เป็นบุตรเขยก็ได้สืบตำแหน่งเป็นเจ้าเมืองเป็น พระเจ้าอู่ทองสืบต่อมาภายหลังพระเจ้าอู่ทองก็ย้ายราชธานีมาตั้ง ณ เมืองอโยธยา เมื่อปี พ.ศ. ๑๘๙๐ และมีอานุภาพอยู่ทางใต้อีกฝ่ายหนึ่ง ขณะเมื่ออาณาจักรสุโขทัยอ่อนอำนาจลงนั้น ประเทศราชต่างๆ โดยมากก็คิดตั้งตัวเป็นเอกราช แต่กำลังเมืองประเทศราชทั้งปวงไม่สม่ำเสมอกัน ที่เป็นเมืองเล็กเมืองน้อยก็เห็นจะพ้นวิสัยก็คงจะสงบนิ่งอยู่ ไม่ต้องการอะไรยิ่งไปกว่าที่จะรักษาเอาตัวรอด แม้เมืองอื่นๆ จะได้กระด้างกระเดื่องต่อกรุงสุโขทัยไปแล้วเป็นอันมาก แต่เมืองน่าน ยังคงสงบเป็นปกติอยู่ ยังมีการเกี่ยวข้องกับกรุงสุโขทัยโดยฐานะเป็นเมืองออกอยู่เป็นลำดับมา เรื่องนี้ปรากฏตามพงศาวดารเมืองน่านต่อมาว่า เมื่อ พ.ศ. ๑๘๙๙ (ศักราชนี้ปรากฏในตำนานพระธาตุแช่แห้ง) ว่า พระยาการเมืองสืบมาจากพระยาผานองได้เป็นเจ้าเมืองวรนคร ในกาลครั้งนั้นพระยาโสปัตตกันทิ เจ้าเมืองสุโขทัย ได้ใช้มาเชิญพระยาการเมืองไปช่วยพิจารณาสร้างวัดหลวงอภัยในกรุงสุโขทัย ครั้นสร้างเสร็จแล้ว เจ้าเมืองสุโขทัยได้ให้พระบรมธาตุแก่พระยาการเมือง อันเป็นมูลเหตุของการประดิษฐานพระบรมธาตุของเมืองน่านอีกเรื่องหนึ่ง โดยพระยาการเมืองได้มาเลือกชัยภูมิในอันที่จะประดิษฐานพระบรมธาตุ และเลือกได้สถานที่ ณ ดอยภูเพียงแช่แห้งนัยว่าเป็นที่เคยบรรจุพระบรมธาตุมาแต่กาลก่อนๆ ดอยภูเพียงแช่แห้งนี้เป็นเนินผาเขาดินเตี้ยๆ ตั้งอยู่ใกล้เมืองน้ำเตียนกับแม่น้ำลิง ทางฟากตะวันออกของแม่น้ำน่าน ตรงข้ามกับเมืองน่านที่ย้ายมาตั้งในชั้นหลังๆ ห่างออกไปราว ๓ กิโลเมตร แล้วนำลี้พลอัญเชิญพระบรมธาตุมาบรรจุไว้ ณ ที่นี้ ต่อมาพระยาการเมืองมีหทัยศรัทธาปรารถนาใคร่ที่จะได้ปฏิบัติรักษาพระมหาธาตุ แช่แห้งอยู่เป็นนิตย์ จึงได้อพยพผู้คนพลเมืองลงมาตั้งเมืองอยู่ ณ ที่แช่แห้ง อันมีพระมหาธาตุตั้งอยู่ภายในกำแพงเมือง เมื่อ พ.ศ. ๑๙๐๒ แท้ จริงพระยาการเมืองคงจะมิได้มาตั้งเมืองใหม่ด้วยความศรัทธาในพระมหาธาตุแต่ เพียงอย่างเดียว หากแต่จะเป็นที่พึงพอใจในสถานที่บริเวณนี้ ซึ่งมีที่ราบกว้างใหญ่อยู่ทั้งสองฟากของแม่น้ำน่าน มีภูมิฐานอุดมดีกว่าวรนครอีกประการหนึ่งด้วย แต่การตั้งเมืองอยู่ที่แช่แห้งนี้ดำรงได้เพียง ๑๐ ปี พระยาผากองซึ่งเป็นเจ้าเมืองอันดับ ต่อมา ก็อพยพข้ามฟากแม่น้ำน่านมาสร้างเมืองขึ้นใหม่ที่บ้านห้วยไค้ คือเมืองที่ตั้งจังหวัดน่านปัจจุบันอันอยู่ใกล้ๆ กับลำแม่น้ำน่าน เมื่อ พ.ศ. ๑๙๑๑ ด้วยเหตุว่าเมืองแช่แห้งกันดารน้ำ เพราะอยู่บนเนินสูงและแม่น้ำลิงเป็นที่ตั้งเมืองนั้น เป็นแต่เพียงลำธารเล็กๆ น้ำย่อมเหือดแห้งไปในฤดูแล้ง เป็นความ อัตคัตกันดารอยู่เช่นนี้เสมอมา ซึ่งเคยปรากฏเช่นนี้มาตั้งแต่ตั้งเมืองใหม่ๆ แล้ว ย้อนกลับมากล่าวถึงพระยาโสปัตตกันทิเจ้าเมืองสุโขทัยในสมัยดังกล่าว เข้าใจว่าเป็นพระมหาธรรมราชาลิไท กษัตริย์รัชกาลที่ ๕ แห่งกรุงสุโขทัยเพราะตกอยู่ในรัชสมัยเดียวกัน หากแต่พระนามที่กล่าวในพงศาวดารเมืองน่านเรียกไปเสียอีกอย่างหนึ่ง การเปลี่ยนนามบุคคลและสถานที่ให้เป็นมคธพากย์เช่นนี้ ปรากฏอยู่ในตำนานของหัวเมืองฝ่ายเหนือมากมาย รู้สึกว่าเป็นที่นิยมกันทั่วไปในยุคโบราณ ความเข้าใจที่ว่าพระยาโสปัตตกันทิเป็นพระมหาธรรมราชาอันเกี่ยวกับด้วยเรื่อง พระบรมธาตุนี้ มีศักราชปรากฏสมกับเค้าเงื่อนตามที่มีในศิลาจารึกนครชุมว่า พระมหาธรรมราชาได้พระบรมธาตุมาจากลังกาทวีป จึง ณ วัน ๖ ๓ ค่ำ ปีระกา พ.ศ. ๑๙๐๐ พระองค์ได้บรรจุพระบรมธาตุได้ที่เมืองนครชุม (เมืองเก่าอยู่หลังจังหวัดกำแพงเพชรเดี๋ยวนี้) และสร้างพระมหาธาตุขึ้นไว้ ตามพงศาวดารเมืองน่านที่ว่าสร้างวัดหลวงอภัย ก็เห็นจะเป็นการก่อสร้างก่อพระมหาธาตุนี่เอง ก็แลลักษณะการไปช่วยเหลือการนี้ของพระยาการเมือง เมื่อพิเคราะห์ดูตามข้อความและเหตุผลในพงศาวดารที่กล่าวมาแล้ว เห็น ได้ว่าเป็นลักษณะการไปตามคำเรียกร้องของผู้มีอำนาจมากกว่าที่จะเป็นการ ไปโดยเชื้อเชิญฐานเป็นเพื่อนบ้านเมืองเคียงกัน อนึ่งกรุงสุโขทัยในระยะนี้ถึงจะอ่อนอำนาจลง แต่ความเป็นไปภายในบ้านเมืองยังคงมั่นคงอยู่ แม้ทางฝ่ายกรุงศรีอยุธยาซึ่งเรืองเดชา- นุภาพปรากฏขึ้น ยังสงบไม่รุกราน ครั้งนั้นกรุงสุโขทัยยังคงจะมีเมืองขึ้นเหลืออยู่บ้างแม้จะมีเหลืออยู่น้อย แต่จำนวนที่เหลือนั้นต้องมีเมืองน่านอยู่ด้วยเมืองหนึ่ง เป็นธรรมดาว่าเจ้าเมืองประเทศราชจะต้องเข้าไปช่วยในการมหกรรมที่กล่าวมาแล้ว ดังปรากฏตามที่เจ้าเมืองน่านได้ไปนั้น เพราะกิจการในฝ่ายพระศาสนาพระมหาธรรมราชาทรงถือเป็นรัฐประศาสนโยบายสำคัญใน การปกครองพระราชอาณาจักรส่วนหนึ่งควรเทียบได้ว่าพ่อขุนรามคำแหงทรงบำเพ็ญ จักรวรรดิวัตรแผ่พระราชอาณาจักรและพระราชอำนาจด้วยการปกครองปราบปรามราช ศัตรูฉันใด พระมหาธรรมราชาลิไทก็ทรงบำเพ็ญในทางที่จะเป็นธรรมราชา คือปกครองพระราชอาณาจักรด้วยธรรมานุภาพเป็นสำคัญฉันนั้น ในรัชสมัยนี้จังเป็นอันยุติได้ว่า เมืองน่านยังคงเป็นเมืองประเทศราชของกรุงสุโขทัยอยู่ต่อไป ต่อมา ปรากฏตามพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา ในแผ่นดินสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๑ ว่า “ศักราช ๗๓๘ ปีมะโรงอัฐศก (พ.ศ. ๑๙๑๙) เสด็จไปเอาเมืองซากังราวได้พระยา กำแหงแลท้าวผากองคิดกันว่า จะยอทัพหลวงทำมิได้ท้าวผากองเลิกทัพหนี เสด็จยกทัพตามตีทัพท้าวผากองแตก ได้ท้าวพระยาเสนาขุนหมื่นครั้งนั้นมาก แล้วทัพหลวงเสด็จกลับคืน” เหตุการณ์ ในตอนนี้ เป็นรัชสมัยของพระมหาธรรมราชาที่ ๒ (พระมหาธรรมราชาไสลือไท) ซึ่งได้มีสงครามระหว่างกรุงศรีอยุธยากับกรุงสุโขทัยเกิดขึ้นประปรายแล้ว ข้อความที่ปรากฏจากพระราชพงศาวดารข้างต้นนี้ คือสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๑ ได้เสด็จไปตีเมืองกำแพงเพชร (ซากังราว) เป็นครั้งที่ ๒ พระยากำแหงเจ้าเมืองกำแพงเพชรได้กองทัพท้าวผากองมาช่วยรักษาเมืองกำแพงเพชร อีกทัพหนึ่ง ทัพท้าวผากองและเจ้าเมืองกำแพงเพชรยกเข้าปะทะกับทัพฝ่ายกรุงศรีอยุธยา สู้ไม่ได้ท้าวผากองจึงเลิกทัพหนี สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๑ เสด็จยกทัพตามตีทัพท้าวผากองแตกพ่ายไป แต่ยังตีเมืองกำแพงเพชรไม่ได้ ในระหว่างเหตุการณ์นี้ ทางฝ่ายเมืองน่าน พระยาผากองเป็นเจ้าเมือง ย้ายเมืองจาก แช่แห้งข้ามแม่น้ำน่านมาตั้งเมืองใหญ่ที่บ้านห้วยไค้ รัชสมัยของพระยาผากองเริ่มตั้งแต่ พ.ศ. ๑๙๑๑ ถึง พ.ศ. ๑๙๓๑ เมื่อได้ตรวจพงศาวดารทางฝ่ายเมืองเหนือสอบดูแล้ว เห็นว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องมาทางน่านยิ่งกว่าเมืองอื่นๆ ทางเหนือด้วยกัน เข้าใจว่าท้าวผากองผู้ที่ไปช่วยเจ้าเมืองกำแพงเพชรรักษาเมืองนั้นเป็นคน เดียวกับพระยาผากองเจ้าเมืองน่านนั่นเอง พระศักราชและเหตุผลยุติลงตรงกันคือใน พ.ศ. ๑๙๑๙ อยู่ในระหว่างรัชสมัยของพระยาผากองเจ้าเมืองน่านและเวลานั้นเมืองน่านยัง เป็นเมืองประเทศราชของกรุงสุโขทัยอยู่ อันเป็นธรรมเนียมที่เมืองขึ้นจะต้องไปช่วยราชการทัพศึกของเมืองที่เป็นนาย ทางฝ่ายเมืองน่านเพิ่งรู้สึกขัดแย้งต่อกรุงสุโขทัยก็ต่อเมื่อพระยาผากองได้ ไปเห็นความอ่อนแอในการทัพศึกของฝ่ายกรุงสุโขทัยที่เมืองกำแพงเพชรเป็นเบื้อง ต้น ความตั้งใจที่จะตั้งตัวเป็นอิสระก็คงจะเริ่มมีขึ้นเมื่อคราวนั้น และเมื่อสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๑ ปราบอาณาจักรสุโขทัยให้อ่อนน้อมเมื่อ พ.ศ. ๑๙๒๑ สิ้นเชิงแล้วจึงเป็นช่องทางอันงามที่จะเปิดให้เมืองน่านเป็นอิสระ การขาดตอนจากอาณาจักรสุโขทัยและความเป็นเอกราชของเมืองน่านจึงน่าจะเข้าใจ ว่าได้กลับมีขึ้นนับแต่การละนั้น สมัยกรุงศรีอยุธยา เมืองน่านขึ้นเชียงใหม่ น่านในยุคนี้ จึงไม่จำกัดว่าจะต้องลงทางสายสกุลเจ้าเมืองน่าน หรือโดยความเห็นของชาวเมืองหรือไม่ ความเป็นประเทศราชของเมืองน่านได้ถูกจำกัดลงอีกชั้นหนึ่ง ในทำนองที่จะคุมเมืองน่านให้คงเป็นดินแดนของเมืองเชียงใหม่โดยมั่นคง ส่วนการป้องกันบ้านเมืองนั้นได้รับความคุ้มครองทันท่วงทีและเหตุการณ์ดีขึ้น การพระศาสนาได้ย่างขึ้นสู่ความเจริญ พระมหาธาตุแช่แห้งอันเป็นปูชนียสถานประจำบ้านเมือง ซึ่งพระยาการเมืองสร้างขึ้นภายหลังเป็นที่รกร้างเลื่อนลอยไป ก็ได้บูรณะปฏิสังขรณ์ให้คืนดีขึ้นในสมัยนั้น เมืองน่านได้อยู่ในความปกครองของเมืองเชียงใหม่มาได้ ๑๐๘ ปี ใน พ.ศ. ๒๑๐๑ พม่าปราบลานนาไทยราบคาบ เมืองน่านก็ตกไปเป็นเมืองขึ้นของพม่าสืบมาแต่กาลนั้น เมืองน่านขึ้นพม่า นับ แต่กาลนี้ไป เมืองน่านและเมืองอื่นๆ ในลานนาไทยก็ถูกควบคุมให้อยู่ในความ ปกครองของพม่าที่เมืองเชียงใหม่ โดยใกล้ชิดกวดขัน มีสัมพันธภาพไม่ขาดตอนจากกันอยู่กระทั่งสยามได้ขับไล่พม่าไปจากลานนาไทยสิ้น เชิง และรวมลานนาไทยเข้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในยุคหลัง ในระหว่างกาลที่ลานนาไทยได้ตกอยู่ในความปกครองของพม่านั้น ได้ขาดตอนจากพม่าไปตกเป็นประเทศราชของกรุงศรีอยุธยาอยู่ ๒ คราว ในวาระแรกเมื่อในรัชสมัยของสมเด็จพระนเรศวรซึ่งเป็นวีรกษัตริย์ประเสริฐของ ชาติไทย อันทรงสุรภาพปราบปรามไปทั่วทุกทิศ และในวาระที่ ๒ เมื่อในรัชสมัยของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช แต่ก็เป็นในชั่วเวลาอันเล็กน้อย พอสิ้นรัชสมัยพระมหากษัตริย์ที่ทรงเดชานุภาพแล้ว ลานนาไทยก็ตกไปเป็นเมืองขึ้นของพม่าตามเดิม ครั้งนั้นพม่าตั้งศูนย์กลางการปกครองลานนาไทยที่เมืองเชียงใหม่ มีกองทัพทหารและข้าหลวงมาประจำสำหรับคอยกำกับ เจ้าเมืองพม่าที่ประจำอยู่ตามเมืองต่างๆ นั้น มีทั้งพม่าและชาวพื้นเมืองที่เชียงใหม่มีเจ้าพม่ามาปกครองอยู่เป็นเวลานาน ที่เมืองน่านเองก็มีพม่ามาเป็นเจ้าเมืองหลายคน ในชั้นหลังพม่าได้ส่งกำลังทหารมาตั้งอยู่ที่เมืองเชียงแสนคุมเมืองตอนเหนือ ไว้อีกชั้นหนึ่ง เหตุที่พม่าควบคุมลานนาไทยไม่ทิ้งเช่นนี้ ลานนาไทยจึงตกเป็นของพม่าอยู่จนตลอดสมัยกรุงศรีอยุธยา เนื่องแต่พม่าปกครองลานนาไทยด้วยความเหี้ยมโหดทารุณกรรม กดขี่ ข่มเหง แก่ราษฎรพลเมืองด้วยประการต่างๆ ลักษณะการเช่นนี้ได้เป็นไปทุกระยะกาลสมัย ต่างได้รับความเดือดร้อนอยู่ทั่วกันเป็นสาหัส จนปรากฏว่าประชาชนชาวลานนาไทยมีแต่ความตระหนกตกใจไหวหวั่นด้วยภยันตรายต่างๆ มิได้วางใจเป็นปกติได้ เหตุด้วยพม่ารามัญมาประหัตประหารปราบปรามย่ำยีด้วยอำนาจดังกล่าวมาแล้วจน น้ำใจคนวิลานปลาส ได้เห็นหรือได้ยินอะไรที่แปลกประหลาดก็หมายเอาว่าเป็นอุบาทว์บอกเหตุลางร้าย ทุกอย่างไป นับแต่ยุคโบราณประวัติลงมา ชาวลานนาไทยก็เห็นจะได้พบรสชาติของการปกครองที่ป่าเถื่อนเช่นนี้เป็นครั้ง แรก หัวใจของชาวลานนาไทยต่างร่ำร้องคร่ำครวญ ในเมื่อไม่สามารถจะแก้มือแก้เผ็ดตอบแทนแก่พม่าได้ และร้อนเร่าปานประหนึ่งจะลุกเป็นไฟในเมื่อความหยาบช้าทารุณนั้นได้แล่นขึ้น ถึงขีดที่จะทานทน จนมีคำกล่าวกันอันเป็นที่น่าเห็นใจนักหนาในระหว่างชาวเมืองกับเจ้านายว่า “ครั้น เจ้าจะเป็นม่าน ตูข้าขอหนี ครั้น เจ้าจะเป็นไทย ตูข้าขอรบม่าน” เป็นอาทิ ฉะนั้น เมื่อความคับแค้นใจมีมากเข้าอัดไว้มากเข้าจนล้นอกล้นใจของทุกๆ คน ทนอยู่ไม่ได้แล้ว การแข็งเมืองจะจราจลก็บังเกิดขึ้นเป็นไปตามกฎธรรมดา จึงในเมืองน่าน เมื่อ พ.ศ. ๒๑๔๓ เจ้าเจตบุตรพรมินทรบุตรพระยาหน่อคำไชยเสถียรสงครามที่พม่าตั้งเป็นเจ้าเมือง ได้รับกำลังสนับสนุนจากพระหน่อแก้ว เจ้ากรุงศรีสัตนาคนหุตยกทัพไปตีเมืองเชียงใหม่ซึ่งมีพม่าเป็นเจ้าเมือง แต่ไม่สำเร็จ เจ้าเจตบุตรต้องหนีไปอยู่เมืองล้านช้าง๑ ภายหลังถูกพม่าจับไปฆ่าที่เมืองเชียงใหม่เมื่อปี พ.ศ. ๒๑๔๖ ๑ ตอนนี้ เจ้านรธาช่อ โอรสพระเจ้าหงษาวดีบุเรงนอง เป็นเจ้านครเชียงใหม่ ขึ้นแก่กรุงศรีอยุธยา ในรัชสมัยสมเด็จพระ นเรศวร ตามอธิบายพระราชพงศาวดารของสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพกล่าวว่า เจ้านครเชียงใหม่เกิด อริกับพระหน่อแก้ว เจ้ากรุงศรีสัตนาคนหุตฯ จึงยุพระยาน่านให้ไปตีเมืองเชียงใหม่ดังปรากฏตามพงศาวดารเมือง ใน ปี พ.ศ. ๒๑๖๗ เจ้าอุ่นเมือง เจ้าเมืองน่านแข็งเมืองต่อพม่าแล้วหนีไปเมืองล้านช้างภายหลังคุมผู้คนกลับมา ตั้งที่เมืองน่านอีก เจ้าฟ้าสุทโธเจ้าเมืองเชียงใหม่ (พม่า) ยกกองทัพมาตีเมืองน่านได้ เจ้าอุ่นเมืองหนีไปเมืองลานช้าง ครั้งนั้นชาวบ้านชาวเมืองแตกตื่นพากันซอกซอนหรีไปอยู่ตามป่าตามเขาเป็นอัน มาก กองทัพพม่าได้กวาดเอาราษฎรที่หนีไม่ทันและทรัพย์สินสมบัติกลับไป ใน พ.ศ. ๒๒๔๖ เจ้าพระเมืองราชา เจ้าเมืองน่านแข็งเมืองต่อพม่า พม่ายกกองทัพมาเป็นอันมาก เจ้าพระเมืองราชาเห็นเหลือกำลังที่จะต่อสู้ก็อพยพครอบครัวหนีไปเมืองลานช้าง ราษฎรคงแตกตื่นหนีไปเที่ยวซ่อนอยู่ตามดงตามป่าเช่นเคย ครั้งนั้นพงศาวดารเมืองน่านกล่าวว่าป้อมปราการ บ้านเรือน วัดวาอาราม พระพุทธรูป พระธรรมคัมภีร์ เจดีย์สถานต่างๆ พม่าก็ทำลายเผาเสียสิ้น จนจะเหลือให้ไว้แต่พื้นแผ่นดินเปล่าๆ เท่านั้น ฝ่ายทางเมืองเชียงใหม่นั้นเล่า เมื่อ พ.ศ. ๒๒๗๑ เจ้าทองคำ ชาวลานช้างได้ครองเมืองเชียงใหม่ด้วยความรู้สึกอันเดียวกันก็แข็งเมืองขึ้น กองทัพพม่ามารบราวีบ้านเมืองเดือดร้อนจลาจลอยู่เสมอมา จนเสียเมืองเชียงใหม่แก่ข้าศึก ต่อจากนั้นหัวเมืองทั้งหลายต่างก็ตั้งซ่องควบคุมกันเป็นหมู่เป็นเหล่าหลาย พวกหลายหมู่ ต่างหมู่ต่างก็รบราฆ่าฟันกันและกัน ไพร่บ้านพลเมืองกระจัดกระจายระส่ำระสายจนหาความสุขมิได้ สมัยกรุงธนบุรี เมืองเชียงใหม่ได้แล้ว ได้ตัวเจ้าน้อยวิธูร จึงเกลี้ยกล่อมให้เข้าสวามิภักดิ์ แล้วตั้งเป็นเจ้าเมืองน่านขึ้นต่อกรุงธนบุรีต่อไป สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ใน ต้นรัชกาลที่ ๑ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เมืองน่านยังมีเจ้า เมืองเป็นสองฝ่ายอยู่ คือ พระยามงคลวรยศเป็นเจ้าเมืองฝ่ายกรุงเทพมหานคร ตั้งอยู่ที่ท่าปลา ฝ่ายหนึ่งและเจ้าอัตถวรปัญโญ (ภายหลังโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาเป็นเจ้าฟ้า) ผู้เป็นหลาน เป็นเจ้าเมืองฝ่าย บุรรัตนอังวะ ตั้งอยู่ที่เมืองเทิงอีกฝ่ายหนึ่ง ทั้งนี้เหตุด้วยครั้งที่เมืองน่านขึ้นกรุงเทพฯ เจ้าอัตถวรปัญโญตกอยู่ในเมืองเชียงแสนกับพม่า ภายหลังเมื่อ พ.ศ. ๒๓๒๙ เจ้าอัตถวรปัญโญลงไปหาพระยามงคลวรยศที่เมืองท่าปลา ขอเข้าพึ่งพระบรมโพธิสมภารในกรุงเทพมหานคร พระยามงคลวรยศมีความยินดี จึงมอบบ้านเมืองให้เจ้าอัตถวรปัญโญครองครอง ครั้งล่วงมาอีกปีหนึ่งเจ้าอัตถวรปัญโญก็ลงไปเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ยังกรุงเทพฯ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าอัตถวรปัญโญดำรงตำแหน่งเจ้า-เมืองน่านต่อไปตามเดิม ในสมัยกรุงเทพมหานคร ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๓๒๕ เป็นต้นมา เมืองน่านมีเจ้าผู้ครองนคร ๙ คน มีรายนามดังต่อไปนี้ ๑. พระยามงคลวรยศเป็นเจ้าผู้ครองในรัชกาลที่ ๑ เมื่อ พ.ศ. ๒๓๒๕ ๒. พระยาอัตถวรปัญโญ (หลาน ๑) เป็นเจ้าผู้ครองในรัชกาลที่ ๑ เมื่อ พ.ศ. ๒๓๒๙ ทรงสถาปนาเป็นเจ้าฟ้าอัตถวรปัญโญ เมื่อ พ.ศ. ๒๓๔๗ ๓. พระยาสุมนเทวราช (น้า ๒) เป็นเจ้าผู้ครองในรัชสมัยรัชกาลที่ ๒ เมื่อ พ.ศ. ๒๓๕๓ -พ.ศ. ๒๓๖๘ ๔. พระมหามหายศ (บุตร ๒) เป็นเจ้าผู้ครองนครในรัชกาลที่ ๓ เมื่อ พ.ศ. ๒๓๖๘ – พ.ศ. ๒๓๗๘ ๕. พระยาอชิตวงศ์ (บุตร ๓) เป็นเจ้าผู้ครองในรัชกาลที่ ๓ เมื่อ พ.ศ. ๒๓๗๙ ครองราชย์ ๗ เดือนก็ถึงแก่พิราลัย ๖. พระยามหาวงศ์ (เป็นญาติทางฝ่ายมารดา) เป็นเจ้าผู้ครองนครในรัชกาลที่ ๓ เมื่อ พ.ศ. ๒๓๘๑ – พ.ศ. ๒๓๙๔ ๗. พระยาอนันตยศ (บุตร ๒) เป็นเจ้าผู้ครองนครในรัชกาลที่ ๔ ครองราชย์ระหว่าง พ.ศ. ๒๓๙๕ – พ.ศ. ๒๔๓๔ ทรงสถาปนาเป็นเจ้าอนันตวรฤทธิเดช เมื่อ พ.ศ. ๒๓๙๙ ๘. เจ้าสุริยพงศ์ผริตเดช (บุตร ๗) เป็นเจ้าผู้ครองในรัชกาลที่ ๕ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๖ ทรงสถาปนาเป็นพระเจ้าสุริยพงษ์ผริตเดช เมื่อ พ.ศ. ๒๔๔๖ – พ.ศ. ๒๔๖๑ ๙. เจ้ามหาพรหมสุรธาดา (บุตร ๗) เป็นเจ้าผู้ครองนครในรัชกาลที่ ๖ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๑ ถึงแก่พิราลัยเมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๔ เจ้า ผู้ปกครองน่านทุกท่าน ล้วนแต่ได้ปฏิบัติราชการในกรุงเทพมหานครมาแล้วด้วยดีมีความชอบปรากฏเหมาะสม ทุกระยะกาลสมัย เป็นกำลังในการทัพศึกเสมอด้วยวีรชนผู้กล้าหาญทั้งหลาย ประกอบด้วยความซื่อสัตย์สุจริตตั้งมั่นอยู่ในความกตัญญูกตเวทีต่อพระมหา กษัตริย์แห่งกรุงรัตน-โกสินทร์อยู่เป็นลำดับมาตลอดกาล การตั้งเมืองน่านในปัจจุบัน ตัวเมืองน่าน ใน พ.ศ. ๒๔๐๐ มี ประตู ๗ ประตู ที่ประตูก่อเป็นซุ้ม ประกอบด้วยใบทวารแข็งแรง กำแพงด้านตะวันออกมีประตูชัย, ประตูน้ำเข้ม ด้านตะวันตกมีประตูท่อน้ำ, ประตูหนองห่าน ด้านใต้มีประตูเชียงใหม่, ประตู่ท่าลี่ มีคูล้อม ๓ ด้าน เว้นด้านตะวันออกซึ่งเป็นลำแม่น้ำน่านเดิมกั้นอยู่ การก่อสร้างกำแพงเมืองเมื่อครั้งแรกมาตั้งเมืองนี้ มีเรื่องเล่ากันสืบมาเป็นทำนองเทพนิยายว่า ครั้งนั้นตกอยู่ในวัสสันตฤดู มีโคอศุภราชตัวหนึ่งวิ่งข้ามแม่น้ำน่านมาจากทางทิศตะวันออก ครั้นมาถึงที่บ้านห้วยไค้ก็ถ่ายมูลและเหยียบพื้นดินทิ้งรอยไว้ เริ่มแต่ประตูชัยบ่ายหน้าไปทิศเหนือแล้ววกไปทางทิศตะวันตกเป็นวงกลมสี่ เหลี่ยมมาบรรจบรอยเดิมที่ประตูชัย แล้วก็นิราศอันตรธานไป ลำดับกาลนั้น พระยาผากองดำริที่จะสร้างนครขึ้นใหม่ ครั้นได้ประสบรอยโคอันหากกระทำไว้เป็นอัศจรรย์ พิเคราะห์ดูก็ทราบแล้วว่าสถานที่บริเวณรอบโคนั้นเป็นชัยภูมิดี สมควรที่จะตั้งนครได้ จึงได้ย้ายเมืองมาตั้งที่บ้านห้วยไค้นั้น และก่อกำแพงฝังรากลงตรงแนวทางที่โคเดินถ่ายมูลไว้มิได้ทิ้งรอยแนวกำแพงจึง มิสู้จะตรงนัก เพราะเป็นกำแพงโดยโคจร เรื่องนี้จะมีความจริงหรือไม่เพียงไรก็ตามเห็นว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับ ประวัติของเมืองนี้ ซึ่งชาวเมืองก็ยังนิยมเชื่อถือว่าเป็นความจริง และนำเอาคติที่เชื่อว่าโคเป็น ผู้บันดาลเมืองมาทำรูปโคติดไว้ตามจั่วบ้านเรือนเพื่อเป็นศิริมงคลอยู่ทั่วไป จึงนำมากล่าวไว้ด้วย ประตูเมืองเป็นด่านสำคัญชั้นในของเมือง ในเวลาที่บ้านเมืองไม่ใคร่จะปกติราบคาบจึงต้องมีการรักษากันแข็งแรง ประตูเมืองทั้ง ๗ นี้ มีนายประตูเป็นผู้รักษา มีหน้าที่ในการปิดเปิดประตูตามกำหนดเวลา คือ ปิดเวลาประมาณ ๒๒.๐๐ น. และเปิดในเวลาประมาณ ๐๕.๐๐ น. ถ้าเป็นเวลาที่ประตูปิดตามกำหนดเวลาแล้ว จะเปิดให้ผู้หนึ่งผู้ใดเข้าออกไม่ได้ และทั้งมีอาชญาของเจ้าผู้ครองบังคับเอาโทษแก่ผู้ที่ปีนข้ามกำแพงไว้ด้วย นายประตูเป็นผู้ที่เจ้าผู้ครองได้แต่งตั้งไว้ได้รับศักดิ์เป็นแสนบ้าง ท้าวบ้าง มีบ้านเรือนประจำอยู่ใกล้ๆ ประตูนั่นเอง ให้มีผลประโยชน์คือในฤดูเดือนยี่หรือเดือนสาม ซึ่งเป็นฤดูเก็บเกี่ยวข้าว เจ้านายท้าวพญาและราษฎรภายในกำแพงเมืองทั้งปวง เมื่อขนข้าวจากนาเข้ามาในเมืองทางประตูใด ก็ให้นายประตูนั้นมีสิทธิเก็บกักข้าวจากผู้นำเข้ามาได้หาบละ ๑ แคลง (ประมาณ ๑ ทะนาน) นอกจากนี้ นายประตูยังได้สิ่งของโดยมากเป็นอาหารจากผู้ที่ผ่านเข้าออกประตูเป็นประจำ วันโดยนำตะกร้าหรือกระบุงไปแขวนไว้ที่หน้าประตูอันสุดแล้วแต่ใครจะให้อีก ด้วย อาชญาของเมืองที่ต้องมีนายประตูดังกล่าวแล้วนี้ ได้เลิกไปเมื่อสมัยพระเจ้าสุริยพงษ์ผริต-เดชเป็นเจ้าเมือง คุ้ม – หอคำ สนาม ฉาง บ้านเรือน วัด ตลาด ถนน การปกครอง การปกครองก่อนการจัดปันหัวเมืองเป็นมณฑลเทศาภิบาล การจัดระเบียบการปกครอง พญาปี๊น ๑.พญา หลวงจ่าแสนราชาไชยอภัยนันทวรปัญญาวิสุทธิมงคล ปฐมอรรคมหาเสนาบดี เป็นผู้สำเร็จราชการบ้านเมืองทั่วไป และเป็นประธานในขุนสนามทั้งปวง ๒. พญาหลวงอามาตย์ เป็นรองผู้สำเร็จราชการ ๓. พญาหลวงมนตรี เป็น นายทะเบียนพล (สุรัสวดี) ๔. พญาหลวงราชธรรมดุลย์ เป็นนายฝ่ายตุลาการ พญาชั้นรอง ๑. พญาหลวงนัตติยราชวงศา ช่วยว่าการทั่วไป ๒. พญาราชเสนา ช่วยว่าการทั่วไป ๓. พญาไชยสงคราม ช่วยว่าการทั่วไป ๔. พญาทิพเนตร ช่วยว่าการทั่วไป ๕. พญาไชยราช ช่วยว่าการทั่วไป ๖. พญาหลวงราชบัณฑิต เป็นโหรประจำเมือง ๗. พญาหลวงศุภอักษร ว่าการฝ่าย ๘. พญามีรินทอักษร ว่าการฝ่าย ๙. พญาสิทธิธนสมบัติ ว่าการคลัง (เงิน) ๑๐. พญาราชสาร ว่าการคลัง (เงิน) ๑๑. พญาหลวงคำลือ ว่าการคลัง (เงิน) ๑๒. พญาหลวงภักดี รักษาคลัง (พัสดุ) ฉางข้าวหลวง ๑๓. พญาราชโกฏ รักษาคลัง (พัสดุ) ฉางข้าวหลวง ๑๔. พญาราชรองเมือง รักษาคลัง (พัสดุ) ฉางข้าวหลวง ๑๕. พญาราชสมบัติ รักษาคลัง (พัสดุ) ฉางข้าวหลวง ๑๖. พญาอินต๊ะรักษา รักษาคลัง (พัสดุ) ฉางข้าวหลวง ๑๗. พญานาหลัง รักษาคลัง (พัสดุ) ฉางข้าวหลวง ๑๘. พญาสิทธิมงคล รักษาคลัง (พัสดุ) ฉางข้าวหลวง ๑๙. พญาธนสมบัติ รักษาคลัง (พัสดุ) ฉางข้าวหลวง ๒๐. พญาพรหมอักษร รักษาคลัง (พัสดุ) ฉางข้าวหลวง ๒๑. พญาแขก รักษาคลัง (พัสดุ) ฉางข้าวหลวง ๒๒. พญาสิทธิเดช ตุลาการ ๒๓. พญานราสาร ตุลาการ ๒๔. พญาไชยพิพิธ ตุลาการ ๒๕. พญาไชยปัญญา นายช่าง ๒๖. พญานันต๊ะปัญญา นายช่าง ๒๗. พญาธรรมราช ธรรมการ ธรรมการ ๒๘. แสนหลวงเมฆสาคร ว่าการเมืองฝาย ทาง ฝ่ายเจ้าผู้ครองนครในการบัญชาการกิจการบ้านเมืองก็มี คณะราชวงศ์ อันประกอบด้วยเจ้าหอหน้า (อุปราช) เจ้าราชวงศ์ เจ้าราชบุตร เจ้าบุรีรัตน์ ฯลฯ ซึ่งเป็นเจ้าสัญญาบัตรตั้งในกรุงเทพมหานคร เป็นที่ปรึกษาอีกคณะหนึ่ง มีที่ว่าการอยู่ภายในหอคำ เมื่อกิจกรรมบ้านเมืองเรื่องใดตกมาถึงคณะที่ปรึกษานี้และยุติโดยบริหารเห็น ชอบของเจ้าผู้ครองแล้วก็เป็นอันเด็ดขาดบังคับไปตามกรณีนั้นๆ ได้ทีเดียว ลักษณะการจัดการบ้านเมืองในรอบกาลสมัยที่กล่าวนี้ ที่สมควรนำมากล่าวก็คือ ๑. การทัพ ๑. การทัพ ผลประโยชน์ของบ้านเมือง ๓. ทาส ๔. การตุลาการ อาณาจักรหลักคำ หลาย ก็ดี อันเป็นร้าง๓ เป็นบ่าว๔ ก็ดี แอ่ว๕ ค่ำมาคืน แอ่วร้างจา๖ สาว ถือศาสตราอาวุธกระทำตัวแปลกปลอม บ่หื้อรู้บ่ฮื้อหันหน้า บ่หื้อรู้จักว่าเป็นผู้ร้ายผู้ดี ในกรรมทั้งหลายฝูงนี้จักพาให้บ้านเมืองวินาศฉิบหายและร้อนรนแก่รัฐประชาบ้าน เมืองต่อๆ ไปมีเป็นหลายประการต่างๆ เหตุนั้นเราเป็นเจ้าจึงปงพระราชอาญาไว้แก่เจ้าพระยามหาอุปราชาหอหน้า หื้อหาเจ้านายพี่น้องขัตติยราชวงษาแลลูกหลาน ท้าวพญาเสนาอามาตย์ผู้ใหญ่ผู้น้อยทั้งมวลมาพร้อมกัน ปรึกษาพิจารณาแลตั้งพระราชอาชญาเป็นราชอาณาจักรกดขี่สั่งสอนบาปบุคคลผู้บ่ดี อย่าหื้อเป็นเสี้ยนหนามแก่แผ่นดิน ร้อนรนแก่บ้านเมืองแห่งเราแลรัฐประชาต่อๆ ไป เพื่อให้วรพุทธศาสนาแลบ้านเมืองแห่งเรานี้หื้อได้อยู่เย็นเป็นสุขพึ่งด้วย เดชบุญคุณแห่งเราทั้งหลายสืบต่อไป ว่าฉะนี้ ครั้น อยู่มาเถิงจุลศักราชเดียวนี้ เดือนเจียงแรม ๑๐ ค่ำ เจ้ามหาอุปราชาหอหน้า จึงได้หาเอาเจ้านายพี่น้องขัตติยราชวงษาลูกหลาน แลท้าวพญาเสนาอามาตย์ขึ้นปรึกษาพร้อมกันยังโรงไชย เจ้าพระยาหอหน้าปรึกษากันพิจารณาด้วยอันจักตั้งพระราชอาณาจักรนั้นตกลงแล้ว ครั้นเถิงเดือนยี่ออก ๑ ค่ำ มีเจ้าพระยาอุปราชาหอหน้าเป็นประธาน และเจ้าพระยาราชบุตร เจ้าพระยาศรีสองเมือง เจ้าพระยาสุริยพงษ์ เจ้าพระยาวังซ้าย เจ้าพระยาวังขวา เจ้าพระยาอริยวงษา เจ้าพระยาเทิง เจ้าพระยาเมืองราชา เจ้าพระเมืองแก้ว เจ้าพระเมืองน้อย เจ้าพระวิไชยราชา เจ้าเมืองเชียงแขง เจ้าเมืองเชียงของ เจ้าเมืองเลน เจ้าราชวงษ์เมืองเลน เจ้าเมืองหลวง เจ้าเมืองเชียงลาบ เจ้าเมืองภูคา เจ้าเมืองล้ำ แลขัติยราชวงษา ท้าวพญาเสนาอามาตย์ราชเสวกผู้ใหญ่ผู้น้อยทั้งมวลพร้อมกันเอาเนื้อความปรึกษา ตั้งราชอาชญานั้นขึ้นกราบหลอง๗ เถิงราชสำนักเราเป็นเจ้าแล้ว จึงได้พร้อมกันตั้งพระราชอาชญาไว้หื้อเป็นอาณาจักรหลักคำ ไว้สั่งสอนห้ามปรามเจ้านายท้าวขุนลูกหลานไพร่ไทยทั้งหลายอย่ากระทำกรรมอันบ่ ดีสืบต่อไปภายหน้าว่าตั้งแต่ศักราช ๑๒๑๔ ตัวปีเต่าไจ้เดือนยี่ ออก ๑ ค่ำ วันพุธนี้ไป ภายหน้าห้ามอย่าหื้อเจ้านายท้าวขุนไพร่ไทยทั้งหลายได้สมคบกันกระทำกรรมบ่ดี เป็นโจรลักเอาทรัพย์สิ่งของเงินทองแลช้างวัวควายของท่านไปฆ่ากินก็ดี ลักเอาไปขายเสียก็ดี ลักเอาไป เหมียดหมายเสียใหม่ก็ดี อนึ่งซื้อเอามาฆ่ากินก็ดี ผู้จักขายก็รู้ว่าท่านจักเอามาฆ่ากินแล้วป้อย๘ ขายหื้อก็ดีในกรรมทั้งหลายมวลฝูงนี้อย่าหื้อได้กระทำเป็นอันขาด คันว่า๙ บุคคลผู้ใด ไปลักเอาควายท่านมาฆ่ากินจักเอาตัวใส่ราชวัตร๑๐ ไวแล้วหื้อใช้ค่าควายตามราคา แล้วจักเอาตัวไปฆ่าเสีย บ่หื้อเป็นเสี้ยนหนามแก่แผ่นดินต่อไป คันว่าลักเอาควายท่านขายเสียก็ดี ลักเอาไปตัดเขาปาดหูเหมียดหมายเสียใหม่ก็ดี โทษเสมอกัน จักเอาตัวเข้าใส่ราชวัตรไว้ คันว่าได้ของเก่าคืน หื้อไหม ๔ ตัวควาย คันว่าบ่ได้ของเก่าคืนฮื้อใช้ ๑ ไหม ๔ ตัวควาย ค่าควายพู่แม่ดำพอนใหญ่น้อยถือว่าค่า ๒๐๐ ดอก๑๑ คันเป็นว่าเจ้านายหื้อ คารวะอาชญา๑๒ ยากต่อกึ่ง๑๓ คันเป็นท้าวขุนหื้อใส่สินค่าคอ ๔๔๐ ดอก คันเป็นไพร่หื้อใส่สินค่าคอ ๓๓๐ ยากต่อกึ่ง อนึ่ง ตัวหากลักฆ่าควายตัวก็ดี ไปซื้อควายเปิ้นมาฆ่ากิน ผู้ขายก็รู่ว่าท่านจักเอาไปฆ่ากินแล้วป้อยขายหื้อก็ดี ถือโทษเสมอกัน คันว่ารู้แล้วจักเอาตัวใส่ราชวัตรไว้ คันเป็นเจ้านายหื้อใส่สินค่าคอ๑๔ ๔๔๐ ดอก ยากต่อกึ่ง คันเป็นไพร่หื้อใส่สินคอ ๓๓๐ ดอก ยากต่อกึ่ง อนึ่ง จักปริกรรมผีเทพดาอาลักษณ์นั้น คันว่าในราชสำนักในเวียงหื้อไหว้สา๑๕ คันเป็นหน้าบ้านหื้อปฏิบัติเถิงสนามก่อน คันว่าหัวเมืองนอก หื้อบอกเถิงพ่อเมือง หื้อได้รู้ก่อนคันบ่บอกหื้อรู้ ถือว่าเป็นโจรลักกินควาย คันได้รู้แล้วจักเอาตัวเข้าใส่ราชวัตรไว้ คันเป็นเจ้านายหื้อคารวะอาชญายากต่อกึ่ง คันเป็นขุนหื้อใส่สินค่าคอ ๔๔๐ ดอก คันเป็นไพร่ใส่สินค่าคอ ๓๓๐ ดอก ยากต่อกึ่ง อนึ่ง ห้ามอย่าหื้อเจ้านายท้าวขุนไพร่ไทยทั้งหลายบนผีหนังประกรรม๑๖ แลผีพระเจ้าหาดเชี่ยว๑๗ ว่าจะหื้อกินควาย อย่าหื้อกระทำเป็นอันขาด คันบุคคลผู้ใดยังกระทำ จะเอาตัวเข้าใส่ราชวัตรไว้ คันเป็นเจ้านายหื้อคารวะอาชญายากต่อกึ่ง คันเป็นขุนหื้อใส่สินค่าคอ ๔๔๐ ดอก คันเป็นไพร่หื้อใส่สินค่าคอ ๓๓๐ ดอก ยากต่อกึ่งฯ ฯลฯ ฯลฯ ฯลฯ อนึ่ง พ่อเมืองนายบ้าน นายอ่ายนายเกิน๑๘ ทั้งหลายทุกตำบล อย่าได้ลาสา๑๙ ประมาท หื้อรักษาด่านทางเขตแขวงบ้านเมืองไผมันหื้อมั่นขันแข็งแรง แม้นว่าลูกค้าวานิชทั้งหลายคือว่าค่าช้างค่าม้าค่าวัว ค่าควายหาบแลสมณะชีพราหมณ์ทั้งหลาย ออกจากเมืองไปบ่มี ชะลางหนังสือ๒๐ ตีตราแต่ราชสำนักอย่าได้ปล่อยไปเป็นอันขาด ว่าคันเป็นคนหื้อจับตัวใส่คา หื้อมั่นขันส่งเข้ามาเถิงราชสำนักสนาม คันเป็นสมณะชีพราหมณ์หื้อเกาะเอาตัวเข้ามาเถิงราชสำนักสถาน คันว่าเป็นลูกค้าแลคนต่างประเทศเมืองอื่นเข้ามาเถิงนายอ่ายแล้ว บ่มีหนังสือชะลางตีตรา อย่าปล่อยเข้าด้วยง่ายหื้องดไว้ก่อน แล้วหื้อมาบอกเถิงพ่อเมืองนายบ้าน แล้วเกาะเอาตัวมาปฏิบัติเถิงราชสำนักสนามก่อน อนึ่ง ด้วยคนทั้งหลายหนีลุก์ ๒๑ ต่างประเทศบ้านเมืองที่อื่น เข้ามาแอบแฝงเพิ่งอาศัยอยู่กับเจ้านายท้าว พญาพ่อเมืองนายบ้านทั้งหลาย แลอาศัยอยู่กับวัดวาอารามที่ใดๆ ก็ดี แม้เป็นคนไทยใต้ก็ดี เป็นลาวก็ดี เป็นคนบ้านใดเมืองใดก็ดี หากหนีมาผู้ ๑ – ๒ – ๓ คนก็ดี แลหาชะลางหนังสือ บ่ได้แม้จักมาอาศัยอยู่กับบ้านใดเมืองใดก็ดี วัดวาก็ดี อย่าหื้อรับอะหยั้งด้วยง่ายหื้อเจ้านายท้าวขุนพ่อเมืองนายบ้านได้นำเอาฝูงคน นั้น เข้ามาปฏิบัติเถิงราชสำนักสนามก่อน จักได้ไล่เลียงไต่ถามหื้อรู้ก่อน คันว่าคนฝูงนี้หากมีการหนีเข้ามาเพิ่งพาอาศัยอยู่กับเจ้านายท้าวพญาพ่อเมือง นายบ้านทั้งหลาย ผู้ใดปิดบังเสียบ่ เอาตัวเข้ามาปฏิบัติเถิงสนามหื้อได้รู้ภายลุน๒๒ บังเกิดเป็นข้าลักกระโมยโจรเป็นประการใดก็ดี ตัวมันหากหนีหายไปหาตัวบ่ได้ จับเอาตัวเจ้าเรือนที่อาศัยแทนผู้นั้นตามโทษ อนึ่ง ลูกค้าทั้งหลายมาจากต่างบ้านต่างเมืองต่างประเทศอื่น เข้ามาหาซื้อช้างซื้อม้าซื้อวัวซื้อควายนั้น คันเข้ามาเถิงบ้านใดเมืองใดก็ดี อย่าหื้อเจ้านายท้าวขุนพ่อเมืองนายบ้านทั้งหลายอย่าได้นับซื้อขายต่อกันด้วย ง่าย หื้อพาเอาตัวลูกค้าทั้งหลายเข้ามาปฏิบัติเถิงราชสำนักสนามก่อน อนึ่ง หาก ผู้ใดบ่ฟังลักซื้อลักขายกัน บ่มาปฏิบัติเถิงสนามนั้น จักเอาโทษตามอาชญา คันบ้านใดเมืองใด บ่กระทำตามพระราชอาชญาได้ ตั้งอาณาจักรหลักคำไว้นี้ สืบรู้จักเอาโทษจงหนัก ในพระราชอาชญาได้ปรึกษาพร้อมเพรียงกับด้วยมหาขัตยราชวงศ์อัครมหาเสนาอำมาตย์ ชูตนชูคนได้ตั้งพระราชอาณาจักรตักเตือนสั่งสอนแก่เจ้านายท้าวพญาราษฎรทั้ง หลาย แลพ่อเมืองนายบ้านทั้งหลายในขงจักขวัติเมืองน่านทุกตำบลชะและบุคคลผู้ใด กระทำล่วงเกินสิ่งหนึ่งสิ่งใด ก็จักเอาโทษตามพระราชอาชญา ซึ่งได้ตั้งอาณาจักรหลักคำไว้นี้ ทุกประการ หมายเหตุ อธิบายศัพท์โบราณ ๑. เหมียดหมาย หมายถึง ตำหนิ ๒. สัง อะไร ๓. ร้าง ม่าย ๔. บ่าว ชายหนุ่ม ๕. แอ่ว เที่ยว ๖. จา พูด ๗. กราบหลอง ทูล ๘. ป้อย พลอย ๙. คันว่า ครั้นว่า, ถ้าว่า ๑๐. ราชวัตร เครื่องจองจำ ๑๑. ดอก เงินดอก (เงินแท่ง) ๑๒. คารวะอาชญา เงินสินไหมปรับให้แก่เจ้าผู้ครองเป็นเงิน ๑๒๐ รูเปีย ๑๓. ยากต่อกึ่ง ปรับเป็นพินัยหลวง ครึ่งหนึ่งของราคาปรับไหม ๑๔. สินค่าคอ สินไหม ๑๕. ไหว้สา ทูล,บอก ๑๖. ผีหนังประกรรม ผีหนังสำหรับคล้องช้าง ๑๗. ผีพระเจ้าหาดเชี่ยว ผีที่สิงอยู่ในที่ทั่วไป คอยรับเครื่องบำบวงจากผู้สำเร็จ ปรารถนาในการบนบาน ๑๘. นายอ่ายนายเกิน นายด่าน ๑๙. ลาสา เพิกเฉย ๒๐. ชะลางหนังสือ หนังสือคู่มือเดินทาง ๒๑. ลุก์ มาจาก ๒๒. ภายลุน ภายหลัง สำนักเจ้าผู้ครองนคร แผนกวัง ๑. พญาสิทธิวังราช เป็นผู้สำเร็จการวัง ๒. พญาราชวัง เป็นผู้ช่วย ๓. ท้าวอาสา เป็นหัวหน้าคนเจ้าใช้การใน มีหน้าที่จับกุมบุคคลที่ขัดอาชญาตามบัญชาของเจ้าผู้ครองนครและมีหน้าที่ถือ มัดหวายนำหน้ากระบวนออกประพาสของเจ้าผู้ครองนคร ๔. ท้าววังหน้า เป็นหัวหน้าคนเจ้าใช้การใน กับมีหน้าที่ออกหน้ากระบวนออกประพาสของเจ้าผู้ครองนคร ในอันที่จะประกาศมิให้ผู้คนจอแจข้างหน้าทางหรือตัดหน้าฉาน กับมีคนใช้การในสำหรับที่จะเรียกใช้กระทำกิจการภายในคุ้ม ๑,๐๐๐ คน ในเวลาปกติมีคนเจ้าใช้การในมาเข้าเวรยาม ๑๕ คน พวกเหล่านี้ผลัดเปลี่ยนกันมาเข้าเวรครั้งละ ๓ วัน ๓ คืน หมุนเวียนกันไป แผนกเสมียนตรา พญาสิทธิอักษร เป็นหัวหน้า แผนกมณเฑียร ๑. พญาราชมณเฑียร เป็นหัวหน้า ๒. แสนหลวงราชนิเวศน์ เป็นผู้ช่วย อาสนะ พญาอาสนมณเฑียร เป็นหัวหน้า แผนกการกุศล ๑. แสนหลวงสมภาร เป็นหัวหน้า ๒. แสนหลวงกุศล เป็นผู้ช่วย ๓. แสนหลวงขันคำ เป็นผู้ถือพานทองนำหน้าเจ้าผู้ครองนครไปในคราวบำเพ็ญ กุศลต่างๆ แผนกรับใช้ ๑. แสนหลวงใน ผู้รับใช้จับจ่ายอาหารเลี้ยงดูคนในคุ้ม ๒. แสนหลวงต่างใจ เป็นผู้รับใช้กิจการต่างๆ ภายนอก นอกจากนี้ ยังมีพนักงาน เสมียนและเจ้าหมวดนายหมู่อีกพอสมควร การปกครองเมื่อจัดหัวเมืองเป็นมณฑลเทศาภิบาล เมื่อ ก่อนตั้งมณฑลลาวเฉียงขึ้นนั้น กระทรวงมหาดไทยได้ตั้งข้าหลวงมาประจำจังหวัดน่านแล้ว เริ่มแต่ พ.ศ. ๒๔๓๓ เป็นต้นมา เพื่อกำกับตรวจตราจัดวางระเบียบราชการในพื้นเมืองให้เข้ารูปแบบในกรุงเทพฯ ต่างหูต่างตากระทรวงมหาดไทยและจัดการอันเกี่ยวกับต่างประเทศ มิให้เป็นการกระทบกระเทือนในทางการเมือง ในขั้นต้นที่มีข้าหลวงมาประจำ การปฏิบัติราชการมีการขลุกขลักกันอยู่บ้าง เพราะเป็นหัวต่อของการที่จะปรับปรุงระเบียบราชการขึ้นใหม่ ซึ่งการทั้งนี้ก็ย่อมจะกระเทือนใจ บรรดาเจ้านายอยู่บ้าง แต่ต่อมาเมื่อทั้งสองฝ่ายได้ทำความเข้าใจกันดีแล้วความกลมเกลียวประสานงานก็ ค่อยดีขึ้นเป็นลำดับ ขณะนี้ทางบ้านเมืองยังคงมีสนามเป็นที่ว่าการอยู่ตามเดิม ครั้นต่อมาถึง พ.ศ. ๒๔๔๐ เมื่อได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ใช้พระราชบัญญัติลักษณะการปกครองท้องที่ ร.ศ. ๑๑๖ แล้ว กระทรวงมหาดไทยได้มีตราให้ยุบเลิกตำแหน่งขุนสนามและตั้งพนักงาน ๖ ตำแหน่งขึ้นว่าการ การมหาดไทย การยุติธรรม การทหาร การคลัง การนา การวังแทน ให้ขึ้นอยู่ในข้าหลวงประจำเมืองและเจ้าผู้ครองนคร เนื่องด้วยการแบ่งเขตแขวงสำหรับจัดการปกครองและตำแหน่งหน้าที่ราชการใน ปกครองและตำแหน่งหน้าที่ราชการในมณฑลตะวันตกเฉียงเหนือ ยังเป็นการก้าวก่ายอยู่หลายประการ สมควรจะจัดการวางแบบแผนวิธีปกครองและวางตำแหน่งหน้าที่ราชการให้เป็นไปตาม ควรแก่กาลสมัย ต่อมาเมื่อ พ.ศ. ๒๔๔๒ กระทรวงมหาดไทยจึงให้พระยามหาอำมาตยาธิบดี (เสง วิริยศิริ) เมื่อครั้งเป็นพระยาศรีสหเทพราชปลัดทูลฉลอง ขึ้นมาจัดวางระเบียบการปกครองในมณฑลตะวันตกเฉียงเหนือ อันเนื่องแต่ได้ใช้พระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ ร.ศ. ๑๑๖ แล้วนั้น และเพื่อที่กระทรวงมหาดไทยจะได้ตราข้อบังคับสำหรับปกครองมณฑลตะวันตกเฉียง เหนือขึ้นใช้ในปีต่อไป ปีนี้พระยามหาอำมาต- ยาธิบดีได้มาที่จังหวัดน่าน พร้อมด้วยพระเจ้าสุริยพงษ์ผริตเดช (ครั้งนั้นยังเป็นเจ้าสุริยะพงษ์ผริตเดช) เจ้าผู้ครองนคร พระยาสุนทรนุรักษ์ (เลื่อง ภูมิรัตน์) ข้าหลวงประจำเมืองและเจ้านายท้าวพญาทั้งปวงประชุมปรึกษาตกลงวางระเบียบ ราชการขึ้นใหม่ ดังนี้ ๑. การปกครองท้องที่ ประชุม เค้าสนามหลวง เป็นผู้แนะนำและสั่งพนักงานให้รับราชการตามหน้าที่ทุกอย่างและมีอำนาจสั่ง ให้หยุดยั้งหรือถอนอาชญาหมายคำสั่งของเจ้าผู้ครองนครหรือเจ้านายคนใดซึ่งข้า หลวงเห็นว่าไม่ชอบด้วยราชการหรือไม่ชอบด้วยพระราชกำหนดกฎหมาย ในระหว่างมีใบบอกไปหารือที่ว่าการมณฑลหรือบอกไปยังกรุงเทพฯ ได้ทุกอย่าง เป็นผู้ตรวจและเซ็นชื่อในคำพิพากษาของศาลในระหว่างที่กระทรวงยุติธรรมยังไม่ ได้จัดตั้งศาล กับเป็นผู้อนุญาตตั้งและย้ายตำแหน่งข้าราชการ ขึ้นและลดเงินเดือนข้าราชการ ซึ่งมีตำแหน่งต่ำกว่าชั้นพนักงานรองลงไป ๓. ข้าหลวงผู้ช่วย มีหน้าที่แทนข้าหลวงประจำเมืองในเมื่อข้าหลวงประจำเมืองไม่อยู่หรือป่วย และช่วยงานในตำแหน่งข้าหลวงประจำเมืองทุกอย่าง ๔. พนักงาน ๖ ตำแหน่ง มีหน้าที่ทำการตามคำสั่งของเค้าสนามหลวงและรับผิดชอบโดยเฉพาะในหน้าที่ของ ตำแหน่ง คือ ๑) พนักงานมหาดไทย ว่าการปกครอง ๒) พนักงานยุติธรรม ว่าการพิจารราพิพากษาอรรถคดี และการจัดการศาลตามแบบศาลในพื้นเมือง ๓) พนักงานทหาร ว่าการปราบปรามโจรผู้ร้าย (การตำรวจ) ๔) พนักงานคลัง ว่าการคลัง ๕) พนักงานนา ว่าการเก็บเงินผลประโยชน์แผ่นดินทั้งปวง ๖) พนักงานวัง ว่าการโยธา การสุขาภิบาล การธรรมการ การไปรษณีย์ ๕. พนักงานกรมการแขวง คงมีหน้าที่ในการปกครองท้องที่แบบเดียวกับคณะกรม การอำเภอปัจจุบันนี้ทุกประการ ๔. การปฏิบัติราชการ เนื่องด้วยแต่เดิมมา ข้าหลวงและพนักงาน ๖ ตำแหน่งต่างทำการแยกย้ายกันอยู่ที่บ้านคนละแห่งจึงให้มารวมทำการ ณ ที่สนามแห่งเดียวกัน กำหนดให้ข้าราชการต้องรับราชการในสนามวันหนึ่งไม่ต่ำกว่า ๖ ชั่วโมง คือตั้งแต่ ๑๐.๐๐ น. ถึง ๑๖.๐๐ น. เว้นแต่วันพระและวันขัตตฤกษ์ ส่วนการปฏิบัติราชการเมื่อเปิดสนามแล้วกำหนดให้มีเวลาประชุมปรึกษาราชการ ในที่ประชุมนั้นให้มีเจ้าผู้ครองนคร ๑ ข้าหลวงประจำเมือง ๑ ข้าหลวงผู้ช่วย ๑ กับหัวหน้าตำแหน่งทั้ง ๖ รวม ๙ คน พร้อมกันประชุมปรึกษาสั่งราชการซึ่งจะมีมาในเวลาเฉพาะวันนั้นและราชการใน หน้าที่ใดมา ให้เจ้าหน้าที่เสนอในคราวประชุม การประชุมนั้นถ้ามีข้าหลวงหรือข้าหลวงผู้ช่วยคนหนึ่ง กับหัวหน้าหรือรอง ๖ ตำแหน่งอีก ๓ นาย รวมเป็น ๔ นาย ให้เป็นองค์ประชุมสั่งราชการได้ การประชุมปรึกษาราชการนั้น ถ้าความเห็นสอดคล้องต้องกันทั้ง ๖ คน ก็ให้จัดสั่งราช-การไป ถ้าความเห็นแตกต่างกันประการใดไม่เป็นที่ตกลงกันได้ก็ให้ข้าหลวงประจำเมือง ๑ เจ้าผู้ครอง-นคร ๑ ข้าหลวงผู้ช่วย ๑ รวมเป็น ๓ นาย ซึ่งเป็นเค้าสนามหลวง พร้อมกันประชุมปรึกษาหารือสั่งเป็นเด็ดขาด ถ้าคนทั้ง ๓ มีความเห็นแตกต่างไม่ตกลงกัน ให้เอาความเห็นข้างมากเป็นคำตกลงกันเด็ดขาดและถ้าความเห็นแตกต่างกันเช่นนี้ บังเกิดขึ้นเมื่อคนใดในเค้าสนามหลวงมาประชุมไม่ได้จะเป็นโดยเหตุประการใดก็ ดี มีอยู่แต่เพียง ๒ นาย ก็ต้องถามความเห็นอีกคนหนึ่งก่อนจึงจะเป็นการตกลงกันได้ หรือถ้าเป็นการสำคัญมากก็ให้แจ้งความไปยังที่ว่าการมณฑลขอหารือและรับคำสั่ง เป็นเด็ดขาด การสิ่งใดที่ได้ตกลงกันในที่ประชุมแล้ว จึงให้จัดทำไปตามหน้าที่ ห้ามมิให้ผู้ใดผู้หนึ่งออกอาชญาหรือมีหนังสืออ้างว่าเป็นราชการไปด้วยประการ ใดๆ นอกจากที่ได้ประชุมตกลงเห็นชอบแล้วนั้น เว้นแต่ถ้ามีราชการร้อนที่จำเป็นจะต้องจัดต้องสั่งโดยเร็วจึงให้ข้าหลวง ปรึกษาพร้อมด้วยเจ้าผู้ครองนครจัดสั่งไปแล้วจึงแจ้งต่อที่จะต้องทำในทันที จึงให้ข้าหลวงจัดส่งไปได้ แล้วแจ้งให้ที่ประชุมทราบภายหลัง นอกจากการวางระเบียบราชการที่พระยามหาอำมาตยาธิบดีได้จัดขึ้นดังกล่าวแล้ว ยังได้ปรึกษาเป็นที่ตกลงกับเจ้าผู้ครองนครถึงการจัดราชการบ้านเมืองอย่าง อื่นอีก ส่วนที่สำคัญคือ ๑. เรื่องการเก็บเงินค่าแรงแทนเกณฑ์ซึ่งเป็นเรื่องต่อเนื่องนำไปสู่พระราช บัญญัติการ – เก็บเงินค่าแรงแทนเกณฑ์มณฑลตะวันตกเฉียงเหนือ ร.ศ. ๑๑๙ ๒. เรื่องยกค่าตัวทาสและยกบุตรหลานค่าหอคนโรงในการที่จะผ่อนผันให้พ้นจากความ เป็นทาสซึ่งเป็นเรื่องนำไปสู่พระราชบัญญัติทาสมณฑลตะวันตกเฉียงเหนือ ณ.ศ. ๙ ๓. เรื่องสร้างสนามขึ้นใหม่ เจ้าผู้ครองนครยอมถวายที่ดินให้เป็นที่ปลูกสร้างและพร้อมด้วยเจ้านายบุตร หลานรับจะช่วยออกแรงช้างในการชักลากไม้จนสำเร็จการ ซึ่งเป็นผลให้ได้มีสนามถาวรขึ้นเป็นครั้งแรก เมื่อ พ.ศ. ๒๔๔๙ (คือศาลากลางจังหวัดปัจจุบัน) ๔. เรื่องเรือนจำ ในขณะนั้นที่คุมขังนักโทษยังแยกอยู่นอกเวียงแห่งหนึ่งในเมืองเวียงแห่งหนึ่ง ข้าหลวงจะเลิกตะรางนอกเวียงเสีย เพราะทำไว้เปล่าไม่มีนักโทษ ฝ่ายตะรางในเวียงก็รกชำรุด ข้าหลวงและเจ้าผู้ครองนครจะซ่อมและขยายตะรางในเวียงให้เป็นไปตามข้อบังคับ เรือนจำ ร.ศ. ๑๑๘ ต่อมารุ่งขึ้นในปี พ.ศ. ๒๔๔๓ กระทรวงมหาดไทยได้ประกาศใช้กฎข้อบังคับสำหรับ ปกครองมณฑลตะวันตกเฉียงเหนือขึ้น ซึ่งเป็นข้อบังคับพิเศษใช้ต่อเนื่องกับพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ ร.ศ. ๑๑๖ ในส่วนระเบียบราชการนั้นคงมีนัยดังที่ได้กล่าวมาแล้วทุกประการ การปฏิบัติราชการได้ดำเนินการตามรูปนี้เป็นลำดับมาจนทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ใช้พระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ พ.ศ. ๒๔๕๗ |
|
ทำความเข้าใจเกี่ยวกับเว็ปไซต์ www.kasetsomboon.org |
ข้อตกลงก่อนชมเว็ปไซต์ |
บทความบันทึกการเดินทางของเว็ปมาสเตอร์ นายตัวดี ท.ทิวเทือกเขา คลิ๊กอ่านได้เลยครับ มีทั้งหมดตอนนี้ 14 ตอน |