แขนข้างเดียวแก้ไขล่าสุด ใน วันอังคารที่ 06 พฤศจิกายน 2012 เวลา 19:21 เขียนโดย นายตัวดี ท.ทิวเทือกเขา วันอาทิตย์ที่ 01 พฤษภาคม 2011 เวลา 02:03 คุณแม่ผู้มีแขนข้างเดียว เรื่องราวนี้ถ่ายทอดจากบทความหนึ่งของอัสสัมชัญสาส์นฉบับเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2540 ซึ่งเขียนโดยมิสอุไรพร นาคะเสถียร เป็นเรื่องจริงของครอบครัวหนึ่งที่มิสบังเอิญทราบมาจากการได้พบคุณแม่ของลูก ศิษย์คนหนึ่งซึ่งได้เล่าไว้ เรื่องนี้ต้องยกความดีความชอบให้กับ “มิสอุไรพร” ครูที่มีจิตวิทยาสูงในการสอนลูกศิษย์ให้สำนึกและมีความภาคภูมิใจในความรัก ของผู้เป็นแม่ ณ ตึกเซนต์หลุยส์มารี โรงเรียนอัสสัมชัญ แผนกประถม ราวกลางปี พ.ศ.2539 “มิสคะ ช่วงพักเที่ยงจะมีผู้ปกครองมารอพบสองท่านที่หน้าห้องรับรองค่ะ ” โทรศัพท์แจ้งจากห้องประชาสัมพันธ์ทำให้มิสอุไรพร นาคะเสถียร คุณครูประจำชั้นป.4 ทำให้มีสอุไรพรรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย เพราะจำได้ว่ามีการโทรนัดหมายจะมาพบจากคุณแม่ท่านหนึ่งเพียงท่านเดียวใน วันนี้ เอ…ใครล่ะนี่ จะมีเรื่องอะไรรึเปล่านะ เมื่อมิสอุไรพรเดินมาถึงหน้าห้องประชาสัมพันธ์ มิสอุไรพรก็แทบยกมือรับไหว้จากสุภาพสตรีทั้งสองท่านไม่ทัน หากก็รู้สึกแปลกใจที่เห็นคุณแม่ท่านหนึ่งยกมือไหว้แต่เพียงแขนข้างเดียว อย่างไรก็ตามมิสได้เชิญคุณแม่ท่านแรกเข้าไปคุยก่อนตามลำดับการนัดโดยเก็บงำ ความแปลกใจไว้ หลังจากคุยกับคุณแม่ท่านแรกเสร็จมิสจึงเชิญคุณแม่อีกท่านเข้ามาคุยในห้อง รับรอง ภาพแรกที่ได้เห็นชัดๆทำให้มิสอุไรพรตกใจเล็กน้อย แขนซ้ายของคุณแม่เป็นแขนเทียม คุณแม่มาปรึกษาเรื่อง การเรียนของลูก เพราะไม่ได้มาในวันนัดพบผู้ปกครองประจำปีเมื่อต้นปีการศึกษาที่ผ่านมา “ลูกเขาไม่อยากให้มา เขาว่าเขาอายที่แม่ใส่แขนเทียม กลัวโดนเพื่อนล้อแม่มาทีเพื่อนก็ล้อกันประจำว่าแม่แขนเดียว แม่เป็นหุ่นยนต์เหรอ อะไรนี่น่ะค่ะ เลยไม่ได้มา” น้ำเสียงของคุณแม่แฝงแววเอ็นดูมากกว่าที่จะโกรธหรือไม่พอใจ มิสอุไรพรขออนุญาตซักถามเกี่ยวกับสาเหตุที่คุณแม่ต้องใส่แขนเทียม เมื่อได้ทราบความจริงทั้งหมดคุณครูก็ตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะต้องจัดการเรื่อง ที่ ลูกไม่ยอมรับและไม่เข้าใจแม่นี้โดยเร็ว หากปล่อยเรื่องนี้ไป…ก็จะเป็นบาปอันหนักยิ่งติดตัวเด็กไปในภายหน้าทั้งตัว ลูกชายและคนที่ล้อเพื่อนด้วย ช่วงเย็นวันนั้นมีชั่วโมงลูกเสือแต่ฝนตกหนัก มิสอุไรพรจึงได้ถือโอกาสนำเรื่องนี้มาเล่าให้นักเรียนฟังในห้องเรียน เรื่องราวที่ว่านั้น มีดังต่อไปนี้ วันที่ 21 สิงหาคม พ.ศ.2536 หลังวันแม่เพียงไม่กี่วัน…ครอบครัวหนึ่งได้เดินทางไปเที่ยวนากุ้งที่ จังหวัด สตูล ครอบครัวนี้ประกอบด้วยคุณพ่อ คุณแม่ และลูกชายอีกสามคนพวกเขาเดินชมนากุ้งไปตามทางเดินซึ่งเป็นคันดิน ท่ามกลางบรรยากาศสดชื่นของธรรมชาติ โดยคุณพ่อเดินนำหน้ากับลูกชายคนโตสองคน ส่วนคุณแม่เดินตามหลังมากับลูกชายคนเล็ก ทางเดินที่เป็นคันดินนั้นมีการแบ่งเป็นท้องร่องเพื่อติดตั้งระหัดวิดน้ำ ซึ่งมีใบพัดทำจากเหล็กสูงจากคันดินราว 25ซม คุณพ่อและลูกคนโตสองคนก็ข้ามท้องร่องแล้วเดินนำต่อไปข้างหน้า ไม่มีใครฉุกใจคิดระวังถึงเหตุร้าย แต่แล้วลูกชายคนเล็กกลับก้าวพลาดล้มลงไปในท้องร่อง ขากางเกงเข้าไปติดกับร่องของระหัดวิดน้ำที่กำลังหมุนอยู่ และฉุดขาของลูกทั้งสองข้างเข้าไปในใบพัดเหล็ก “ถ้าเป็นพวกนักเรียน น้องตกลงไปอย่างนี้พวกเธอจะทำอย่างไร” มิสหยุดเรื่องไว้ก่อนเพื่อซักถาม มองหน้าเด็กนักเรียน ทั้งห้องที่นั่งเงียบกริบ หน้าซีด โดยเฉพาะ “ลูกชาย” ของคุณแม่ท่านนั้น มิสอุไรพร ดำเนินเรื่องต่อไปทันที “ทุกคนตกตะลึงใช่มั้ย คิดไม่ทันใช่มั้ย แต่นักเรียนรู้มั้ยว่าคุณแม่ท่านตัดสินใจทำอย่างไร” คุณแม่ไม่ยอมเสียเวลาคิดอะไรเลยท่านรีบยึดดึงตัวลูกเอาไว้แล้วเอาแขนซ้ายที่ ว่าง อยู่เข้าไปขวางใบพัดเหล็กไว้ ก่อน…ที่ใบพัดจึงหมุนเอาแขนของคุณแม่เข้าไป…คนงานที่เห็นเหตุการณ์รีบ ปิดเครื่องทันที แต่แรงเฉื่อยทำให้ใบพัดยังหมุนต่อด้วยกำลังแรง…แรงจนกระชากแขนซ้ายของคุณ แม่ ขาดสะบั้นลง! คุณแม่กรีดร้องด้วยความเจ็บปวดทรมานแสนสาหัสสติสัมปชัญญะดับวูบลงในทันที ท้องร่องทั่วบริเวณแดงฉานไปด้วยเลือด…เลือดของแม่… ใบพัดเหล็กยังหมุนต่อไปอีกเล็กน้อยและบดเอาขาทั้งสองข้างของลูกชายคนเล็กจน กระดูกหัก …แต่ไม่ขาดไม่ขาด…เพราะแขนซ้ายของแม่ขาดแทน…ไม่ขาด…เพราะแม้จะไร้ ซึ่งสติสัมปชัญญะ มือขวาของคุณแม่ก็ยังยึดตัวลูกเอาไว้แน่น…ไม่ยอมปล่อย… คุณพ่อและลูกคนโตทั้งสองคนหันกลับมามองตามเสียงตะโกนเอะอะโวยวายของคนงาน พร้อมๆกับเสียงกรีดร้องของคุณแม่ ภาพที่เห็นทำให้พวกเขาช็อกจนแทบสิ้นสติ! คุณพ่อกระโจนพรวดเดียวถึงตัวคุณแม่และลูกน้อย แต่…มันสายเกินไปแล้ว! สิ่งเดียวที่ทำได้คือรีบพาสองแม่ลูกส่งโรงพยาบาลทันที ผลของการรักษาคือคุณแม่ต้องใส่แขนเทียมแทนแขนซ้ายที่ขาดไป ส่วนลูกคนเล็กที่ขาหักต้องอยู่โรงพยาบาลนานราวสามเดือนจึงสามารถเดินเหินได้ เป็นปกติ มิสอุไรพรกวาดสายตามองไปรอบๆห้องถามขึ้นอีกว่า “นักเรียนคิดว่าคุณแม่ท่านนี้กล้าหาญมั้ยคะ” “กล้าหาญมาก ” เด็กๆพากันตอบเป็นเสียงเดียวกันพลางพยักหน้า หลายๆคนยังหน้าซีดเซียวเมื่อนึกภาพเหตุการณ์ไปตามที่ครูเล่า มิสมองหน้า “ลูกชาย” ของคุณแม่ท่านนั้นแล้วบอกต่อว่า “นักเรียนทราบมั้ยว่าคุณ แม่ท่านนี้เป็นคุณแม่ของเพื่อนเราในห้องนี้เองไหน ใครเป็นลูกของคุณแม่ท่านนี้ยืนขึ้นให้เพื่อนเห็นหน่อยสิ” เด็กนักเรียนคนนั้นยืนขึ้น ท่ามกลางเสียงปรบมือของเพื่อนทั้งห้อง “วันนี้เมื่อเธอกลับไปบ้านมิสฝากเรียนคุณแม่ด้วยว่าพวกเราชื่นชม และยกย่องท่านมากจริงมั้ยพวกเรา” “จริงครับๆ ใช่ครับๆ” เสียงเล็กๆตอบมาเป็นทางเดียวกัน “มิสได้ทราบมาว่ามีหลายๆคนไปล้อเลียนเพื่อน ไหนคนไหนบ้างคะที่เคยล้อคุณแม่เขา ถ้ามีเราเป็นลูกผู้ชายต้องกล้ารับค่ะ” มีนักเรียน 3-4 คนยืนขึ้น สีหน้าของแต่ละคนซีดเซียวอย่างสำนึกผิด มิสอุไรพรมองหน้าของเด็กกลุ่มนี้อย่างอ่อนโยน ถามว่า “ดีมากนักเรียน ตอนนี้พวกเธอคงอยากพูดอะไรกับเพื่อนใช่มั้ยคะ ” รู้มั้ยน้ำ นมหยดหนึ่งซึ่งไหลมาต้องใช้น้ำตาหยาดเหงื่อสักเท่าไหร่ บอกแม่เถอะนะ บอกทุกวัน ว่ารักท่านมากมาย กอดแม่เถอะนะ ให้คุ้นเคย กอดเลยไม่ต้องอาย ก่อนไม่มีแม่ให้กอด… บทความต้นฉบับเป็นการบรรยายเรื่องธรรมดาแต่ ผมนำมาเล่าใหม่ โดยเขียนในลักษณะจำลองเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้นมาเพื่อให้เห็นภาพ และได้รับความประทับใจครบถ้วนตามเจตนารมณ์ของผู้เขียนเดิม ใครอยากทราบชื่อและนามสกุลของคุณแม่ท่านนี้ สามารถไปค้นอ่านได้จากอัสสัมชัญสาส์นฉบับดังกล่าว ทั้งนี้ผมขอไม่บอกไว้ ณ ที่นี้เพราะไม่ได้ขออนุญาติจากครอบครัวดังกล่าวให้เปิดเผยได้ เพียงนำเรื่องราวมาให้ได้ชื่นชมกันเท่านั้น ทุกวันนี้มีลูกอีกหลายคนที่พบรัก ใหม่และหลงลืมรักอันบริสุทธิ์ของแม่ และบางคนยอมบูชารักใหม่ด้วยชีวิตที้งแม่ผู้มีแต่ให้ไว้ในความทุกข์ |
|
ทำความเข้าใจเกี่ยวกับเว็ปไซต์ www.kasetsomboon.org |
ข้อตกลงก่อนชมเว็ปไซต์ |
บทความบันทึกการเดินทางของเว็ปมาสเตอร์ นายตัวดี ท.ทิวเทือกเขา คลิ๊กอ่านได้เลยครับ มีทั้งหมดตอนนี้ 14 ตอน |